....... |
การนับคาร์โบไฮเดรตเพื่อควบคุมเบาหวาน
ทีมเบาหวาน อำเภอด่านซ้าย
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า หัวใจของการควบคุมเบาหวาน คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ การควบคุมเบาหวานจะได้ผลดีต้อง ควบคุมอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ร่วมกับการควบคุมน้ำหนักตัวให้ปกติ ดังนั้นชนิดอาหาร เวลาและปริมาณที่รับประทานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วย อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลมากที่สุด 90 – 100% และเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็วใน 15 – 90 นาทีหลังกิน ส่วนอาหารจำพวกโปรตีนเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลเพียง 58% ไขมันเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลเพียง 10% และใช้เวลานานหลายชั่วโมง ดังนั้น จึงต้องควบคุมสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตในแต่ละวันให้เหมาะสมกับกิจกรรมและพลังงานที่ใช้
ตารางรายการอาหารแลกเปลี่ยน แบ่งออกเป็น 6 หมวด คือ
การคำนวณพลังงานจากน้ำหนักตัวและระดับกิจกรรม
*กรณีที่ BMI เกิน 25 ใช้น้ำหนักปัจจุบันแล้ว โดยให้ลดพลังงานลงวันละ 500 กิโลแคลอรี่ กรณี BMI เกิน 40 ให้คำนวณด้วยน้ำหนักที่น้อยกว่าปัจจุบัน 10%
จำนวนCARBที่แนะนำผู้ป่วยเบาหวานอำเภอด่านซ้าย สัดส่วนคาร์โบไฮเดรต 60%
**หมายเหตุ : นับ CARB เฉพาะข้าว + แป้ง + ผลไม้ (ลด ไป 1 CARB ในส่วนของผัก)
การคำนวณคาร์บ
จากการประเมินวิถีชีวิตคนด่านซ้าย ส่วนใหญ่กินข้าวเหนียวเป็นหลัก กินผักประเภท ข. มาก กินเนื้อสัตว์น้อย และไม่ค่อยดื่มนม ทางทีมผู้ดูแลผู้ป่วยเบาหวานจึงคิดสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตให้เต็มที่ คือ 60%( แต่สำหรับผู้ที่กินโปรตีนมากอาจใชสัดส่วน50-60%) และนำมาคำนวณพลังงานที่ควรได้จากอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตต่อวัน (CARB) เมื่อได้จำนวน CARB/วัน แล้ว ให้ลดลง 1 CARB เป็นพลังงานที่ได้จากผักประเภท ข จำนวน 3 ส่วน
กรณีที่ผู้ป่วยไม่เคยดื่มนมเลยหรือดื่มแล้วมีอาการท้องเสียหรือดื่มนาน ๆ ครั้ง ไม่ต้องแนะนำให้นับส่วนของนม
ดังนั้นส่วนใหญ่ จะแนะนำให้ผู้ป่วยนับ CARB จากส่วนของข้าวแป้งและผลไม้ก็พอ
ข้อสังเกตในการนับคาร์บ
สำหรับผู้ที่ต้องการจำกัดโปรตีน ในส่วนของข้าว 1 ส่วนจะมีส่วนของโปรตีนอยู่ 3 กรัม ไขมัน 1 กรัม ดังนั้น
10 คาร์บของข้าว จะมีโปรตีน 1 ส่วน (30 กรัม)
22 คาร์บของข้าว จะมีไขมัน 1/2 ส่วน (22 กรัม)
การสาธิตอาหารตามแบบด่านซ้าย
การสาธิตอาหารในคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย ทางทีมได้จัดเมนูเป็นอาหารพื้นบ้านและข้าวเหนียวเพื่อเกิดการเรียนรู้ตามแบบวิถีที่ดำเนินอยู่
1. กระติ๊บข้าวน้อย
แนะนำให้ผู้ป่วยสานกระติ๊บข้าวเหนียวขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8-10 ซม. ซึ่งจะใส่ข้าวตามที่คำนวณสัดส่วนคาร์บของแต่ละราย โดยทั่วไป ๆ แนะนำ 3 – 4 ส่วน สำหรับผู้ที่มีกิจกรรมน้อย
2. นับปั้นข้าวเท่ากับนับน้ำตาล
แนะนำให้นับจำนวนคาร์บ เป็นปั้นหรือคะแนนหรือส่วน 1 าร์บ=1 ส่วน = น้ำตาลประมาณ 1 ช้อนแกง (15 กรัม) เพื่อเปรียบเทียบให้ชัดเจนขึ้น ให้เทียบข้าวเหนียว 1 ส่วน กับอาหารจำพวก ข้าว แป้ง ผลไม้ นม ถั่ว และเครื่องดื่มที่กินบ่อย ฝึกการดูส่วนของคาร์โบไฮเดรตจากฉลากสินค้า คาร์โบไฮเดรต 15กรัม =1ส่วน เช่น น้ำตาล 1 ช้อนแกง (15 กรัม) เท่ากับข้าว 1 ปั้น
นม 1 กล่อง เท่ากับข้าว 1 ปั้น
น้ำอัดลม 1 กระป๋อง เท่ากับข้าว 2 – 3 ปั้น
เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ขวด เท่ากับ ข้าว 2 – 3 ปั้น
3. ไม่ใช่ข้าวแต่นับเป็นข้าว
อาหารท้องถิ่น ที่ผู้ป่วยนิยมกินเป็นขนมหรือกับข้าวให้ผู้ป่วยเรียนรู้การนับคาร์บ เช่น กลอย ข้าวโพดข้าวเหนียว หมากค้อ เผือก ฟักทอง หมากก่อ ถั่วลิสง เป็นต้น
4. อาหารตามปฏิทินชีวิต
แนะนำให้ผู้ป่วยระวังการกินอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลตามเทศกาล งานบุญ งานเลี้ยง ตามปฏิทินชีวิต
5. คนละติ๊บซุมกัน
ในวันมาตรวจเบาหวาน รพ.จัดเลี้ยงอาหารเช้า โภชนากรจะตักอาหารให้ผู้ป่วยโดยสอบถามสัดส่วนของข้าวที่ทีมผู้ดูแลแนะนำ ส่วนใหญ่นับข้าวเหนียวประมาณ 3 ส่วน (ไม่ทำงาน) ถ้ามีผลไม้ต้องนับรวม
6. แลกเปลี่ยนเรียนรู้
1. ในกรณีผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลสูงกว่าเกณฑ์ ครั้งแรกอาจนำเข้ากลุ่มเพื่อให้ ข้อมูลเรื่องโรคและการปฏิบัติตัวให้เข้าใจมากขึ้น
2. ในกรณีที่ประเมินแล้วผู้ป่วยมีความรู้แล้ว แต่มีปัญหาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จัด Focus group เพื่อเรียนรู้จากเพื่อที่คุมได้ “การคุมอาหารในแบบของฉัน”
3. การทำกลุ่มในผู้ป่วยที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพื่อเพิ่มสัมพันธภาพส่งเสริมให้สุขภาพกันเอง สร้างความเข้มแข็งของกลุ่มโดยทำกลุ่ม “เพื่อนช่วยเพื่อน”
7. ยืดหยุ่นเพื่อเยียวยา
มีข้อสังเกตในการเรียนรู้เรื่องของการนับคาร์บ ว่าถึงแม้ทางทีมผู้ดูแลจะประเมินพลังงานของผู้ป่วยเบาหวานจากการสอบถามกิจกรรมที่ผู้ป่วยทำในแต่ละวันแล้วคำนวณออกมาเป็นสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตหรือคาร์บแล้วก็ตาม แต่เราไม่ควรยึดสัดส่วนดังกล่าวตายตัวเพราะผู้ป่วยอาจให้ข้อมูลที่แตกต่างจากความเป็นจริงได้ ดังนั้น เราควรตั้งเป้าหมายร่วมกับผู้ป่วยและต้องประเมินความพร้อมของผู้ป่วยเป็นหลัก นำมาปรับสัดส่วนคาร์บของผู้ป่วยแต่ละราย โดยให้สอดคล้องกับสภาพร่างกาย จิตใจและวิถีชีวิตที่ผู้ป่วยดำเนินอยู่ เพื่อความยั่งยืนในการปรับพฤติกรรม ความเข้าใจในวิถีชีวิตและการยืดหยุ่นเป็นหนทางที่ทำให้ผู้ป่วยไว้ใจและแลกเปลี่ยนข้อมูลให้แก่ทางทีมผู้ดูแลได้มีโอกาสปรับปรุงแผนการดูแลให้เหมาะสมและประสบผลสำเร็จในการควบคุมเบาหวานได้
|
...... |