09/02/2010
View: 2,962
ในวงสนทนาของฝ่ายเล็กๆ เราทั้ง 6 คน นั่งบนเสื่อผืนเดียวกัน ใครเมื่อยก็จะไถลตัวลงบนหมอน บ่ายวันนั้นน่าจะเหมือนวันประชุมฝ่ายงานตามปกติ แต่เมื่อเราเริ่มวงสนทนาด้วยการขอให้น้องชายคนหนึ่งของเรา ช่วยเล่าความภาคภูมิใจและประทับใจในงานของเขาให้เราฟัง น้องชายที่ปฏิเสธมาตลอดว่าเขาเป็นคนพูดไม่เก่ง เขียนก็ไม่เก่ง ควักกระดาษแผ่นหนึ่งที่เรียบเรียงความรู้สึกเขาไว้ออกมาบอกเล่าให้เราฟัง เมื่อสองปีก่อน จากเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยงานนักกายภาพบำบัด เขาได้ถูกคัดเลือกให้เข้าไปร่ำเรียนเอาวิชาความรู้เรื่องการทำขาเทียม กับระดับปรมาจารย์เจ้าของรางวัลแมกไซไซ ไกลถึงเชียงใหม่ ด้วยหลักสูตรตลอด 3 เดือน ด้วยความที่เป็นคน “ขาดี”ท่ามกลางเพื่อนคนขาขาดพิการ ที่มาร่วมเรียนในชั้นเรียนเดียวกัน ความรู้สึกในครั้งนั้นเป็นดังคำบอกเล่าดังนี้...
ถ้าเขา... มีขาที่ยืนเดินได้ ชีวิตเขาคงจะดีกว่านี้
ตั้งแต่ผมไปอบรมที่เชียงใหม่เป็นเวลา 3 เดือน ชีวิตผมได้เรียนรู้เรื่องราวหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเกี่ยวกับการทำขาเทียม ซึ่งผมไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง และใช้อะไรทำ จากการที่ผมเรียนจบไฟฟ้ากำลังซึ่งไม่เกี่ยวอะไรเลยกับคนไข้ มารู้บ้างตอนเป็นผู้ช่วยงานกายภาพบำบัด แต่เวลาก็ทำให้ผมได้รู้จักคำว่า “ขาเทียม” ผมใช้ชีวิตศึกษาการทำขาเทียมร่วมกับเพื่อนๆที่สูญเสียขา มีผมกับพี่อีกคนเท่านั้นที่เป็นคนขาดี แม้กระทั่งอาจารย์ก็ยังเป็นคนพิการใส่ขาเทียม
เป็นเพราะอะไร ทำไมเขาถึงขาขาด และเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างไร?เป็นคำถามในใจผมมาตลอด
และในช่วงเวลาที่เรียนอยู่ผมได้พบกับคนพิการที่มารับบริการทำขาเทียมเป็นจำนวนมาก และทำให้ผมคิดว่า “คนพิการแขนขาขาด ต้องถือว่าเป็นคนโชคร้าย ที่ไม่มีอวัยวะช่วยเหลือในการดำรงชีวิตให้ราบรื่นทั่วไปเหมือนคนปกติ นอกจากเขาจะมีความทุกข์ที่ร่างกายตนเองไม่ครบเหมือนคนอื่นและทำอะไรไม่ได้เหมือนคนอื่นแล้ว สังคมและประเทศชาติยังสูญเสียโอกาสที่จะได้แรงงานหรือผลงานดีดี จากคนเหล่านี้ด้วย ” และผมคิดว่า ถ้าเขามีขาเทียมที่ใช้งานได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป ความสามารถของเขาจะต้องดีไม่ได้น้อยกว่าคนอื่นแน่นอน สังคมเราก็จะได้ประโยชน์จากส่วนนั้นเพิ่มขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เขาเป็นปัญหาของสังคม เมื่อผมได้เรียนผ่านไป ทางมูลนิธิได้จัดให้ออกหน่วยขาเทียมพระราชทานในชนบทห่างไกลปีละประมาณ 5 ครั้ง ในโอกาสสำคัญของชาติ ทั้งนี้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและที่ผมได้มีโอกาสออกหน่วยและสร้างความประทับใจคือที่จังหวัดตรัง เพราะเป็นการออกหน่วยครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้ว่ายังมีผู้พิการขาขาดอีกเป็นจำนวนมากที่มารอทำขาเทียม และผมสังเกตคนพิการในวันนั้น ว่าคนที่ฐานะดีหน่อยจะมีขาเทียมใส่เดินมารับบริการได้สะดวก แต่สำหรับคนที่ยากจน ต้องช่วยตัวเอง ทำขาเทียมใช้เอง บางคนใช้ไม้ไผ่ บางคนใช้ไม้อื่นๆสุดแต่จะหาได้มาต่อตอขาตัวเองให้พอเดินได้ รายที่ไม่มีขาเทียมใช้ก็จะใช้ไม้ยาวๆ ช่วยค้ำยันแทน ทำใช้กันไปแบบตามมีตามเกิด ซึ่งเป็นภาพที่น่าหดหู่ใจสำหรับผม
ในการออกหน่วยทุกคนต้องตื่นมาตั้งแต่ตีห้า หกโมงเช้าจะต้องเดินทางไปไซค์งานที่โรงพยาบาลตรัง แล้วเริ่มปฏิบัติงาน ตั้งแต่เช้าจนถึงสี่ห้าทุ่มเป็นอย่างนี้ทุกวันของการออกหน่วย... ผมยอมรับว่าการออกหน่วยขาเทียมพระราชทานนั้นหนักมากแต่เมื่อผมเห็นรอยยิ้มของผู้รับบริการขาเทียมแล้วทำให้ผมลืมคำว่า “เหนื่อย” ไปหมดเลยครับ....จากคำให้การบนกระดาษแผ่นนั้นของ คุณสุริยา เชื้อบุญมี พอเล่าถึงความประทับใจแรกของเขาเมื่อคราวไปทดสอบความรู้ที่ร่ำเรียน กับการออกหน่วยขาเทียมพระ ราชทานครั้งแรกหลังเรียนจบ ที่จังหวัดตรัง
เสียงพ่อลูกสอง คุณอัษฏางค์ อรรคสูรย์ พี่อีกคนหนึ่งที่ไปเป็นเพื่อร่วมรุ่นเดียวกัน อดีตเจ้าหน้าที่ห้องบัตร ที่การันตีว่ามีฝีมือด้านศิลปะบำบัด เขาได้ถูกคัดเลือกให้เข้าไปร่ำเรียนเอาวิชาความรู้เรื่องการทำขาเทียมกับระดับยอดเยี่ยม คนขาดีอีกคน ที่ไปเป็น “แกะดำ”ในหมู่เพื่อนพิการ เมื่อเสียงที่สั่นเครือของเขาดังเสริมขึ้นมา....ในประสบการณ์ครั้งเดียวกันนี้ พร้อมกับน้ำตาลูกผู้ชายคนหนึ่ง ทำให้เพื่อนร่วมเสื่อผืนเดียวกันต้องหยุดฟัง
จากคำสารภาพของเขา ด้วยความไม่ใช่คนโสด มีห่วงถึง 3 ห่วง คือทั้งภรรยา และลูกชายอีก 2 คน ทำให้การตัดสินใจไปเรียนไกลบ้านถึง 3 เดือนนั้นเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับเขา เป็นเขา...ที่ลากลับบ้านบ่อยครั้งที่สุดตลอดการเรียน เพื่อที่จะกลับมาเยี่ยมห่วง ให้คลายห่วง ก่อนไปก็รู้สึกว่าเดิมเคยทำงานที่ห้องบัตร เป็นลูกจ้างประจำ เงินเดือนก็ตันจะทำอะไรอีกนักหนาแต่เพื่อเป็นการตอบแทนผอก.รพ. ที่เคยให้โอกาสเขาได้เข้าทำงานเมื่อครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาในรพ.แห่งนี้ เขาจึงตัดสินใจไปก็ไป...ตามคำร้องขอนั้น
3 เดือนที่เขาได้เรียนรู้ท่ามกลางเพื่อนๆ ทำให้เขาและน้องอีกคน กลายเป็นที่รักของเพื่อนพ้องได้ไม่ยาก เพราะความที่เป็น “คนขาดี ”ต้องช่วยคนอื่นๆในงานหนักๆที่เพื่อนพิการเหล่านั้นทำได้ไม่เต็มที่ การเป็นศิษย์ที่ได้รับความไว้ใจและเมตตา ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ก้าวผ่านมา จนพูดได้เต็มปากว่าเขาทั้งสองเป็นศิษย์รักของอาจารย์ และเพื่อนเลิฟในหมู่เหล่าเพื่อนพิการช่างขาเทียม แต่เมื่อหลักสูตร 3 เดือนจบลง สนามฝีมือแรกของพวกเขาอยู่ที่ จังหวัดตรัง พื้นที่ติดทะเลที่หลายคนแอบมองว่าน่าจะมีความสวยงามของทะเลฝั่งอันดามันรออยู่ การออกหน่วยแต่ละครั้งกินเวลาประมาณ 10 วัน ช่างขาเทียมแต่ละคนต้องเดินทางมาจากหลายที่ หลายจังหวัด ต่างกรรมต่างวาระ แต่สิ่งที่หล่อหลอมรวมพวกเขาคือการเป็นจิตอาสาในฐานะลูกศิษย์ ในแต่ละครั้งเมื่อถึงจุดหมายจะมีภารกิจรออยู่ ตั้งแต่ลงของเครื่องมือ ตกลงกำหนดจุดบริการ แจกจ่ายกันรับคนไข้ขาขาด ถึงจะได้พักในโรงแรมเรียกว่าหรูทุกครั้ง แต่เป็นเฉพาะเวลานอน และอาบน้ำอาบท่า เพราะช่างทุกคนจะต้องตื่นมาทำงานในหน่วยตั้งแต่ หกโมงเช้า ถึง สี่ห้าทุ่มทุกวัน สิ่งที่เขารู้สึกในครั้งนั้นคือ สนามฝีมือในครั้งแรกนี้ไม่มีครูคอยประกบเหมือนที่ผ่านมาตลอดเวลาเรียน และต้องทำกับขาที่พิการจริงๆ ที่เขาจะต้องดูแลรับผิดชอบตั้งแต่ต้นจนจบ การรับคนไข้แต่ละครั้ง มักจะมีปัญหาที่ช่างจะต้องคอยแก้ไขอยู่เสมอและเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขด้วยตัวเอง เพราะแต่ละคนก็มีขาที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ประสบการณ์นั้นทำให้เขาเรียนรู้ที่จะต้องมั่นใจ กล้าคิด กล้าตัดสินใจแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับขาเทียมนั้น ด้วยความรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนดื้อแพ่งพอสมควร แต่สิ่งนี้กลับผลักดันให้เขาพยายามคิดเพื่อทำให้ขาเทียมที่รับผิดชอบนั้นเหมาะกับคนไข้ อย่างถูกต้องที่สุด คำพูดที่บอกว่า “ถ้าคนไข้รู้สึกเจ็บที่ตอขา หรือจุดใดจุดหนึ่งเมื่อพยายามลองขาเทียมในครั้งนั้น นั่นหมายถึงช่างคนนั้นจะต้องรับผิดชอบแก้ไขจนถึงที่สุด เพื่อไม่ให้คนไข้เจ็บเลย ” การออกหน่วยที่หนักที่สุดในครั้งแรกของการเรียนนั้นทำให้เขาได้แต่ก้มมองมือตัวเองทั้งสองข้างที่แตกยับเยิน ทั้งเจ็บและคิดถึงบ้าน คิดถึงห่วงทั้งสามตลอดเวลา
แต่เมื่อการออกหน่วยครั้งนั้นจบลง ความคิดแรกของเขาก็คือเขาจะต้องเป็น “ช่างขาเทียมที่ทำขาเทียมได้ดีที่สุด”อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับอาจารย์ที่สอนมา และการออกหน่วยในหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมาหลังจากครั้งแรกนั้น ทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับการเป็นช่างขาเทียมของเขาอีกแล้ว ถึงแม้เขาจะวางแผนหยุดชีวิตการทำงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาก็คิดว่าในช่วงเวลาที่เหลือจะทำให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ และยังต้องหาตัวแทนความฝันนี้รับช่วงต่อ
ทะเลอันดามันในวันสุดท้ายของการทำงานออกหน่วย เป็นของแถมเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาได้ค้นพบหลังจากล่ำลาจังหวัดตรังกลับสู่บ้านของเขา
คำสารภาพที่2...จากหัวหน้า
ตอนแรกที่เรารู้ว่าจะได้เจ้าหน้าที่เพิ่มมา เราทั้งหมดดีใจมากที่จะมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระงานที่เพิ่มขึ้นจาก5 คนมาเป็น 6 คน แต่เมื่อได้มาจริงกลับพบว่า จาก 6 คนเราจะเหลือเพียง 4 เพราะงานขาเทียมทุกครั้งจะดึงคนของเราไป 2 คนเสมอซึ่งหมายถึงเด็กเก่าของเราที่เคยเป็นผู้ช่วยมือหนึ่ง การหายไปอาจตลอด 2–3 วันในสัปดาห์ หรือบางทีเป็นอาทิตย์หนักสุดกว่า 10 วัน เลยเถิดถึงครึ่งเดือนเลยก็มี...ความหงุดหงิดก็บังเกิดความหมั่นไส้ก็ตามมา เพราะบางครั้งตามตารางออกหน่วยเราจะเห็นรายการแถม ด้วยการพาเที่ยว 1 วันในที่ที่หลายๆคนในชีวิตก็ไม่เคยไปกับเฉพาะงานฝ่ายที่บางครั้งอาจจะต้องเหลือแค่ 2 คนที่คอยให้บริการเพราะที่เหลือต้องออกพื้นที่ตามภาระกิจงานหรือประชุมเป็นหลัก(โดยเฉพาะหัวหน้าเอง)ทำให้เพื่อนๆพี่น้องในฝ่ายเรารู้สึกถึงภาระที่เพิ่มขึ้น ทั้งที่ความหวังเราคือสองคนขาเทียมจะมาช่วยปลดแอกภาระในห้องใหญ่ได้บ้าง
โดยเฉพาะเมื่อกลับมา การที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป เช่น หลุดไปทำขาเทียมเสร็จไม่บอกกล่าว ไม่ให้ตรวจทาน อย่างน้อยเราก็เป็นทีมงานวิชาชีพน่าจะได้ดูคนไข้ร่วมกัน พี่กลับบอกว่าพี่ดูเองได้อาจารย์ยังไม่ดูเลยมันอาจจะจี๊ด!!! ในช่วงแรกๆบ่อยครั้งที่เรานึกคิดอกุศลเป็นช่วงๆ จนอาจถึงจิกกัดด้วยวาจาให้คันเล่นๆ จริงๆแล้วเราทั้งหลายต่างมีความคิดที่ตรงกัน ที่จะช่วยให้คนไข้ คนพิการหรือคนอื่นๆที่ไว้ใจให้เราดูแลเขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เราลืมที่จะอุดชองว่างด้วยว่าเราเลือกทำกันคนละวิธี และต่างวิถีคิดต่างหาก
คำสารภาพจากพี่ในวงนั้นนั่นเองทำให้หัวหน้าเข้าใจ และยอมรับในด้านหนึ่งของพี่ กับคำขอโทษของพี่เขาที่ทำบางอย่างข้ามหน้าเราไปว่า เพราะรู้ดีว่าขาเทียมที่เขาทำเหมาะแล้ว ดีแล้ว และเป็นขาที่ดีที่สุดในทุกๆครั้ง ขนาดอาจารย์ยังต้องฟังเขา “อกุศล” ที่เคยมีมันแตกกระจาย เกิดเป็น “กุศล”บนเสื่อผืนนั้นนั่นแหละ
เรียบเรียงจากการประชุมฝ่ายเวชกรรมฟื้นฟู
แม่ขุนเขา..เล่าเรื่อง