3 ครัวทัวร์ลั้นลา

3 ครัวทัวร์ลั้นลา

3 ครัวทัวร์ลั้นลา

“น้ำค่ะกล้วยครับ” เสียงที่ได้ยินตลอดเส้นทางการปั่นจักรยานเพื่อพิชิตยอดดอยอินทนนท์ปี 5 และนี่ก็เป็นปีที่ 3 แล้วที่ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคนพันธุ์อึดพิชิตยอดดอยอินทนนท์อีกครั้ง ซึ่งการปั่นในลักษณะเช่นนี้ปัจจุบันได้กลายเป็นเสมือนหนึ่งประเพณีที่จะต้องมีการจัดขึ้นทุกๆ ของอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ นับเป็นศูนย์รวมนักปั่นจักรยานจากทุกสารทิศทั่วไทยที่มุ่งหวังว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะมีโอกาสได้พิชิตยอดดอยที่ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดในประเทศไทยของเราสักครั้งให้ได้ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสอันดีที่เหล่าเสือ(บนหลังอาน)จะได้มาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ปั่นในลักษณะที่ตัวเองเคยสัมผัสต่อกันและกันสักครั้ง

การไปเข้าร่วมเพื่อเป็นผู้พิชิตในครั้งนี้ เรามีผู้เข้าร่วมเดินทางด้วยกันหลายคน ทั้งเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลและนักปั่นจากชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพเมืองด่านซ้าย ทั้งคนที่เคยผ่านประสบการณ์มาแล้วในครั้งที่ผ่านๆ มาและคนที่ต้องการมาพบกับประสบการณ์ครั้งแรกในการพิชิตยอดดอยที่ชื่อว่าสูงที่สุดของประเทศเรา ด้วยแรงขาสองน่องในครั้งนี้

เราแบ่งการเดินทางออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกันโดยมีเป้าหมายพบกันปลายทางที่วัดพระธาตุจอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ออกเดินทางด้วยรถยนต์สนับสนุนจากทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย 2 คันและอีกกลุ่มใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในการเดินทางอีก 2 คัน ผมอยู่ในกลุ่มที่ 2 ที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทาง ถือว่าเป็นผู้ดูแลกลุ่มเนื่องด้วยประสบการณ์ที่เคยมีโอกาสเข้าร่วมมาแล้ว 2 ครั้งใน 2 ปีหลังที่ผ่านมา

เราออกเดินทางเช้าวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 55 โดยจัดแจงข้าวของและคนขึ้นรถเรียบร้อย กลุ่มของเรามีด้วยกัน 6 คน 3 ครอบครัว(มิ่งแก้ว,สุขปือและเชื้อบุญมี)เราเดินทางอย่างไม่เร่งรีบนักแวะเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวรายทางไปเรื่อยๆ เก็บภาพบันทึกความทรงจำกับการเดินทางให้มากที่สุดผลัดกันลั่นชัตเตอร์ผลัดกันแอ๊คชั่น ตั้งขาตั้งเมื่อรวมชุดใหญ่ แล้วเราถึงอำเภอจอมทองในช่วงเย็น สมัครเข้าร่วมกิจกรรมเรียบร้อยก็เดินทางขึ้นสู่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์เพื่อหาที่พักพร้อมๆ กับอีก 1 ทีมที่มาด้วยรถสนับสนุนฯ จัดแจงเข้าที่พักกางเต๊นท์นอน โดยมีแม่บ้านพี่แดง(ห้องแลป)หัวแรงใหญ่ช่วยกันเตรียมข้าวเย็นในเย็นวันนั้น รับประทานร่วมกันด้วยการนั่งล้อมหน้าเป็นครอบครัวใหญ่ขนาด 10 กว่าที่นั่งบนเสื่อผืนใหญ่สองผืน พูดคุยเตรียมตัวเตรียมรถและยาวถึงเรื่องการเตรียมตัวเพื่อปั่นในวันรุ่งขึ้น ก่อนอาบน้ำพักผ่อนเพื่อเตรียมกำลังกายไว้พิชิตยอดดอยอินทนนท์

“วันพิชิต”ในเช้าวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 55 ผมตื่นขึ้นเมื่อตอนตี 5 ด้วยเสียงการเตรียมตัวของทีมปั่นที่จะลงปั่นในระยะทาง 50 กิโลเมตรนำทีมโดย ป๋าหงวนตามด้วยพี่หนุ่ย(ธนา) เสือปิติ เสือพ่อลูกอ่อน(นายธูป) โดยมีบาสขับรถยนต์ลงไปส่ง ณ จุดปล่อยตัวที่บริเวณหน้าพระธาตุจอมทอง ส่วนทีมปั่นท่องเที่ยว 16 กิโลเมตรยังคงพักผ่อนรอต่อไปสักพักใหญ่ ก่อนหกโมงเช้า “พี่เดียว....พี่หนุ่ยหลงรองเท้าไป 1 ข้าง” น้องต๊ะร้องบอกจากท้ายรถพร้อมเสียงหัวเราะร่วน ...เอาเข้าแล้วไงผมนึกในใจพร้อมกับเดินไปดูรองเท้าที่เหลืออยู่ “พี่หนุ่ยจับไปผิดข้างหนึ่งครับ ที่เหลืออยู่คนละข้างคนละฝา แกฝากถามว่าใส่ได้มั้ย” ผมเอื้อมไปหยิบรองเท้าผิดข้างขึ้นมาเพื่อดูเบอร์ ...ไอหยาเบอร์ 42 นี่นาเล็กไป 1 ไซด์ขอลองดูหน่อยซิ ..แน่นเลย... “บอกพี่แกหน่อยว่าพอใส่ได้ไม่ต้องเอาขึ้นมาเปลี่ยน” ด้วยห่วงเรื่องระยะทาง ไป - กลับ จากตัวอุทยานกับจุดปล่อยตัว ถ้าจะเปลี่ยนคงไม่ทันได้ปั่นกันแน่ๆ ผมจึงให้น้องบอกปลายสายโทรศัพท์ที่รออยู่ว่าอย่างนั้นไป

“จารย์ต๊ะ..จ่านา ไม่ต้องรีบนะปั่นไปเรื่อยๆ” ผมร้องบอกก่อนการปล่อยตัวที่จุดปล่อยตัว 16 กิโลเมตรเพราะนี่คือครั้งแรกที่พวกเค้าต้องการมาพิชิต นักปั่นนำทีมโดยเสือเอ็ดขาแรง พี่แปวกับพี่แดง(ครั้งแรก) บาสกับน้องโบ้(น้องชมรมฯ) หมออุ้ย(ครั้งแรก) รอตรงจุดปล่อยตัวไม่นานก็มีนักปั่นเสือหมอบและเสือภูเขาที่ต้องการแข่งขันกับเวลาก็ปั่นขึ้นมาผ่านจุดปล่อยตัวของพวกเราไป ไม่อยากเชื่อว่าคนพวกนี้ปั่นขึ้นเขามาแล้ว 36 กิโลเมตร ยังมีแรงขา โขกสับกับจานหน้าได้อย่างนี้ ...พวกนี้เป็นมนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมา เสือพ่อลูกอ่อน(ธูป)เคยว่าไว้อย่างนั้น เออว่ะ..คงจะจริงอย่างที่น้องมันว่าไว้แฮะ ฮ่า ฮ่า ....

เริ่มปล่อยตัวไปได้ระยะทางสัก 5-6 กิโลเมตร จากแรกเริ่มทุกคนต่างแย่งชิงกันออกจากจุดปล่อยอย่างฉุกละหุกพลุกพล่านแต่ ณ เวลานี้ผู้คนกับจักรยานเริ่มห่างหายกันไปตามลำดับ มีปั่นบ้าง เดินจูงบ้าง เพื่อดันเนินสูงๆ ที่อยู่ตรงเบื้องหน้าอย่างไม่เห็นว่าจะมีทางราบให้ได้พักขาพักแข้ง ผมหันหลังมองน้องและเพื่อนอีกครั้ง “ไหวก็ปั่น ไม่ไหวก็จูงนะ ไม่ต้องรีบ” หลังจากนั้นผมก็ก้มหน้าก้มตาสู้กับเนินลูกแล้วลูกเล่า ...เราเคยปั่นระยะ 50 กิโลเมตรมาแล้วแค่ 16 กิโลเมตรเอง เราต้องไหว ถึงตรงนี้แล้ว ถึงตรงนั้นแล้ว เดี๋ยวก็ถึงยอด....  นั่นคือเสียงที่อยู่ในความนึกคิดคอยให้กำลังใจกับตัวเองโดยตลอด ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ ผมก็มาถึงยอดดอยฯ โดยที่เท้าไม่ต้องแตะพื้นเป็นปีที่ 2(ซึ่งก็แหงล่ะ ง่ายกว่าปีที่แล้วเยอะ)รอสักครู่ใหญ่น้องและเพื่อนผมก็ตามขึ้นมาถึงยอดดอยกันจนได้ แสดงความยินดีกับความสำเร็จเก็บภาพบรรยากาศและพักผ่อนกันพอสมควรจึงลงจากยอดดอยพร้อมๆ กัน ระหว่างทางเรายังคอยส่งเสียงและชูมือเพื่อให้กำลังใจกับนักปั่นหลายๆ คนที่ยังขึ้นไปไม่ถึงยอดให้มีกำลังใจสู้กันต่อไป

กลุ่มที่ 2 (3 ครัวทัวร์ลั้นลา)ของเราก็ขอแยกตัวจากกลุ่มแรกเพื่อท่องเที่ยวกันต่อ โดยออกจากดอยอินทนนท์เวลาประมาณบ่าย 2 โมงเศษๆ ที่หมายคืองานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 เราใช้เวลาเข้าชมบริเวณจัดสวนและนิทัศการต่างๆ จับจ่ายซื้อของจนถึงหกโมงเย็นโดยประมาณ ก็จำต้องรีบออกเดินทางต่อ เพราะมีเสียงตามจากสายโทรศัพท์เข้าหลายๆ ครั้ง ปลายสายคือเจ้าของบ้านที่จังหวัดลำปาง เพื่อนผู้รอการไปเยี่ยมเยือนของพวกเรา เราเดินทางถึงจังหวัดลำปางตอน 1 ทุ่มเศษๆ ก็ถึงบ้านส่วนตัวของนายป่าไม้จังหวัดลำปาง เลี้ยวรถเข้าตัวบ้านที่มีต้นแคป่าขนาดใหญ่ยืนต้นอยู่บริเวณกลางบ้านคอยผลิดอกออกผลให้ได้เก็บเป็นของกินและของฝากทุกๆ ปี ประดับประดาห้อยระย้าด้วยพันธุ์ไม้เลื้อยทำหน้าที่เสมือนมู่ลี่ธรรมชาติ ล้อมรอบตัวบ้านด้วยสระน้ำ 2 สระ(เจ้าของบ้านบอกว่าบำบัดธรรมชาติก่อนแล้วธรรมชาติจะกลับมาบำบัดคืนให้กับเรา)และพันธุ์ไม่เล็กอื่นๆ แลดูเขียวชอุ่มไปทั่วบริเวณบ้าน เราลงจากรถโดยมีสองสามี-ภรรยา เดินออกมาให้การต้อนรับด้วยรอยยิ้มทักทาย ท่ามกลางเสียงเขียดตัวน้อยที่ร้องกันระงมทั่วตัวบ้าน ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินเสียงอย่างนี้ในบ้านที่อยู่ใจกลางตัวเมืองจังหวัดลำปาง พวกเรารีบชำระล้างร่างกาย แล้วร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้รอรับ พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวซึ่งนานๆ ครั้งจะได้พบปะกันอย่างนี้สักที

“ก่อนวันแห่งความรัก” วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 55 เราตื่นนอนกันแต่เช้าตรู่ ด้วยเสียงนาฬิกาปลุกอันไพเราะ คือนกที่มาจับมาจิกผลไม้รอบบ้าน หลังจากที่จัดการกับตัวเองและรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย “วันนี้เรามีสถานที่ที่ต้องไปท่องเที่ยวหลายๆ แห่ง” สตีฟ....เจ้าของบ้านร่ายให้ฟังแต่เช้าตรู่ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ไกค์จำเป็นของเรามองไว้ก็คือวัดที่ประดิษฐานขององค์เจดีย์สำคัญๆ หลายแห่งและแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเยอะแยะ ขอแค่เรามีเวลา สตีฟได้ไปพาเราเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวตามลำดับ ไม่น่าเชื่อว่าลำปางจะมีวัดตั้งอยู่ใกล้ๆ กันให้ได้กราบไหว้สักการะเป็นจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงความเฟื่องฟูของพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยอดีตที่ผ่านมายาวนานจนถึงเวลาในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวัดพระแก้วดอนเต้า ซึ่งเป็นถิ่นประดิษฐานเดิมขององค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต)ก่อนถูกเคลื่อนย้ายลงสู่เมืองกรุงในสมัยก่อนเก่า แวะไปกราบสักการบูชาสถานที่เก็บสรีระสังขารของพระเกจิชื่อดังแห่งเมืองลำปาง หลวงพ่อเกษม เขมโก ก่อนเที่ยงสตีฟนำเราสู่การดูแลตนจากภายใน ด้วยการพาไปพบกับการอบไอน้ำสมุนไพร(ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกของผมและเพื่อน)ที่ชมรมรักษ์สมุนไพรลำปาง งานนี้ได้ผิวพรรณดีกลับบ้าน

หลังจากพักทานอาหารกลางวันกันเสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราออกเดินทางสู่ร้านอินทราเอาท์เลทเพื่อหาดูของฝากเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือเพื่อไปฝากพี่ฝากน้องกันก่อนที่จะขอตัวลานายป่าไม้สตีฟ เดินทางกลับโดยตกลงกันว่าจะใช้เส้นทางหลักสู่จังหวัดพิษณุโลกเพื่อจะแวะห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ของที่นั่น เราใช้เวลาอยู่กับการเดินเที่ยวและพักรับประทานอาหารเย็นและเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

ขอบคุณภรรยาที่ให้เวลา ให้โอกาสได้เดินทางท่องไปด้วยกันและได้ปั่นขึ้นดอยอินฯ ในปีนี้อีกปีเป็นปีที่ 3 แล้วนะปีหน้าจะขอไปอีก ฮ่าๆ ขอบคุณพี่แดง(ห้องแลป)ที่ดูแลน้องๆ ยังกะได้อยู่ที่บ้านเราเอง ขอบคุณครอบครัวเพื่อนสตีฟ ที่มีทั้งอาหารที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวอันอบอุ่นเต็มไปด้วยความรักให้กับครอบครัวของเราและครอบครัวเพื่อนๆ ของเรา ขอบคุณเพื่อนผู้ร่วมทริปนี้ทุกคน ที่คอยดูแลกันและกันจนถึงวันเราเดินทางกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ..ขอบคุณมากๆ ครับ...  นุกูล

>..จากการร่วมเดินทางทริป..สามครัวทัวร์ลั้ลลา..ข้าพเจ้าประทับใจเพื่อนร่วมเดินทาง ทั้งสามครอบครัว(ครอบครัวมิ่งแก้ว,ครอบครัวเชื้อบุญมี และครอบครัวจ่านา) ไม่มีอะไรที่ค้านกันตลอดเส้นทาง เฮใหน...เฮนั่น....ว่าตามกันทุกอย่าง  กินอะกินก็กินด้วยกัน ฮาๆ...มีอยู่ว่า เช้าวันที่สองของการเดินทาง กลับมาพักค้างที่บ้านเพื่อนที่ลำปาง อาหารเช้าเป็นเมนูอาหารท้องถิ่น ยำผัก แกงผักรวม น้ำเต้าฮู้ ปาท่องโก๋ สาวๆในทริปนี้  กินข้าวต้มถ้วยเดียวกัน..จึงกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบาน..ฮ่าๆๆ (ต่างก็กินอะไรไม่ได้ อยากกินข้าวต้มทุกคน แต่ซื้อข้าวต้มมาแค่ ถุงเดียว)

>                                                      ศศิรดา

เหอะๆๆๆๆ.....ชอบม๊ากมากค่ะ เสียงนี้ได้ยินตลอดเส้นทางการ ไม่คิดว่าเสียงหัวเราะแบบนี้จะเป็นเสียงของพี่ติ๋วเลย (ไม่ค่อยได้ยิน) เป็นเอกลักษณ์มาก  ยิ่งพี่หน่อยที่สามีของพี่หน่อยบอกว่า ปกติจะนั่งอยู่แต่หน้าคอม ลุกขึ้นมาหั่นซอยเนื้อ 2 กก. เพื่อตากแห้งแล้วนำมาทอด ลุกมานึ่งข้าวเหนียว เตรียมพร้อมก่อนการเดินทาง แพ็คผ้าห่มนวม 2 ถุงใหญ่ แสดงถึงความตั้งใจในการเดินทางครั้งนี้มาก ทุกคนมีความตั้งใจและอยากไปในการท่องเที่ยวครั้งนี้จริงๆ  และต้องขอขอบคุณเพื่อนพี่เดียว คือพี่สตีฟ (ชื่อดั้งเดิมคือ ตาตีบ) ที่ให้การดูแลเป็นอย่างดี ทุกประโยคจะต้องลงท้ายด้วย "อ๊ะหย่ะ ...ดุ่ๆ"  อยากให้มีบรรยากาศแบบนี้อีกบ่อยๆ ปีละหลายๆครั้ง... อิอิ ครุคริ งุงิ 

                                                 ....แม่ผักหวาน

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

view