ศึกษาวิถีชุมชนคนลุ่มน้ำ (update)

ศึกษาวิถีชุมชนคนลุ่มน้ำ (update)


       
วงตะวันยังไม่ลับเหลี่ยมเขา และเหลือระยะทางอีกราว 60 กิโลเมตรก็จะถึงด่านซ้าย เราจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบเร่ง เมื่อพ้นเนินเขาลูกหนึ่งขึ้นมาผมบอกให้หนุ่มห้องบัตรหยุดรถที่ข้างทางเพื่อแวะถ่ายภาพ เพื่อนร่วมทางของเราที่ขับรถมอเตอร์ไซด์ตามหลังอีก 2 คันจึงหยุดรถใกล้ๆกัน ทันทีที่เครื่องยนต์เงียบเสียงโลกรอบข้างให้รู้สึกแปลกไป อาจเพราะผมอยู่บนหลังรถมอเตอร์ไซด์มานานนับชั่วโมงก็ได้ เมื่อถ่ายภาพเป็นที่พอใจแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ผมสังเกตสีหน้าของเพื่อนร่วมทางแต่ละคนแล้วช่างดูแตกต่างกับช่วงเวลานี้ของการเดินทางวันแรกอย่างเห็นได้ชัด ตอนนั้นเราเหนื่อยล้าและเป็นเพียงคนต่างถิ่น ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่รู้อะไรเลย แต่ตอนนี้เรารู้ว่ากำลังจะไปไหน ซึ่งที่ที่เราจะไปก็คงเป็นเพียงสถานที่แปลกถิ่นสำหรับผู้คนทางอื่นด้วยเช่นกัน จึงทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหันมองกลับไปยังเส้นทางที่เราผ่านมา เรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้นตลอดการเดินทางสั้นๆครั้งนี้ ซึ่งเรื่องบางเรื่องผมก็หาคำตอบให้ตนเองได้แต่บางเรื่องก็ไม่
 แท้จริงแล้วเราคือใคร 
 มาจากหนแห่งไหน 
 แล้วเรามายืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ด้วยเหตุผลใดกันนะ...

วันแรกของการเดินทางตามสายน้ำ... 

       ใ
ช้เวลาเดินทางไม่นานจากด่านซ้ายถึงบ้านปากหมัน แล้วเราก็มายืนอยู่บนสะพานแห่งสุดท้ายที่พาดผ่านลำน้ำหมันซึ่งตื้นเขินและแทบมองไม่เห็นการไหลของกระแสน้ำ ผมมองไปยังบริเวณที่น้ำหมันไหลบรรจบกับน้ำเหืองด้วยความรู้สึกบางอย่าง ในความคิดของผมคือบริเวณปากน้ำน่าจะให้ความรู้สึกสดชื่นอุดมสมบูรณ์มากกว่านี้ ถึงจะอยู่ในช่วงฤดูแล้งก็ตาม อย่างไรก็ตามนี่คือสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นซึ่งผมคงต้องทำใจยอมรับและลืมภาพในจินตนาการไปเสีย ระหว่างทางที่มา ผมสังเกตเห็นบริเวณริมน้ำหมันบางช่วงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น กอไผ่ขนาดมหึมาที่เคยอยู่มานานและปกป้องริมตลิ่งจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยพร้อมแหล่งอาหารของสัตว์น้ำนานาชนิดได้ถูกทำลายรื้อถอน เพียงเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่ผมไม่อาจเข้าใจ ซึ่งกอไผ่เหล่านั้นคงใช้เวลานานหลายปีกว่าจะมีขนาดมหึมาได้ถึงเพียงนี้ หากเปรียบกับผู้คนก็คงเหมือนผู้อาวุโสที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน แต่กลับถูกทำลายโดยใช้เวลาไม่นาน

บางทีผู้คนอาจเห็นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เพราะยังเหลือกอไผ่อีกมากมายตามริมตลิ่งลำน้ำหมัน

บางทีผู้คนอาจหลงลืมไปเหมือนกันว่าแม่น้ำสายใหญ่ล้วนถือกำเนิดมาจากลำห้วยสายเล็กๆที่ไหลมารวมกัน

เรื่องเล็กน้อยหลายๆเรื่องรวมกันเข้าก็สามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นจากโครงการของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย ที่สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่เดินทางท่องเที่ยวกันเป็นกลุ่มย่อยๆ โดยแต่ละกลุ่มจะต้องประกอบด้วยเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 3 หน่วยงานขึ้นไป นี่เป็นปีที่ 2 ของโครงการ ผมได้แต่ภาวนาขอให้โครงการดีๆอย่างนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ หลังจากทราบข่าวผมใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจว่าจะเดินทางอย่างไร ไปที่ไหน แต่ส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้คือเพื่อนร่วมทางนี่สิ...

ผมตั้งใจไว้ว่าจะชวนคน 2 คนไปด้วย คนแรกหนุ่มห้องบัตรอีกคนหนุ่มเวรเปลทั้งสองเป็นคนที่คุยกันถูกคอ หลังจากเล่าโครงการให้ฟังคร่าวๆ หนุ่มห้องบัตรตอบตกลงแต่หนุ่มเวรเปลปฏิเสธอย่างนิ่มนวลด้วยเหตุผลว่ากลัวเหนื่อย เพราะเป็นการเดินทางโดยรถมอเตอร์ไซด์กับระยะทางไปกลับราวๆ 600 กิโลเมตรในฤดูร้อนที่แดดแรงกล้าเช่นนี้ แต่คงเป็นโชคชะตาอะไรบางอย่างหนุ่มหล่อเวรเปลอีกคนได้ยินเข้าเขาจึงตัดสินใจขอร่วมเดินทางไปด้วย ตอนนี้เราจึงมีสมาชิก 3 คน 3 หน่วยงานแล้วต่อไปคือการเขียนโครงการ หลังจากผมเขียนโครงการฉบับร่างเสร็จแล้วก็นำไปให้หนุ่มห้องบัตรช่วยตรวจสอบ ปรากฏว่ามีคำแนะนำจากผู้หวังดีมากมายเหลือเกิน ส่วนใหญ่คิดว่าโครงการนี้มีโอกาสน้อยมากที่จะผ่านการอนุมัติ

3 คน จะผ่านได้ยังไง คนน้อยขนาดนี้เขาไม่ให้ไปหรอก

แค่เห็นว่าพาหนะเป็นรถมอเตอร์ไซด์ก็จบแล้ว

ทำไมไม่หารถยนต์หรือเหมารถตู้ไปจะไม่สบายกว่าเหรอ

แต่คำพูดที่ผมคิดว่าสำคัญคือ จุดประสงค์ของโครงการยังไม่ชัดเจน พี่ลองแก้ไขใหม่นะ หนุ่มห้องบัตรบอกผมภายหลังอ่านโครงการฉบับร่าง จากคำแนะนำต่างๆผมตัดสินใจที่จะแก้ไขรายละเอียดโครงการเล็กน้อยและกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ผมแจ้งเพื่อนร่วมทางว่าจะไม่ทำการแก้ไขใดๆทั้งสิ้นในส่วนของยานพาหนะและจำนวนคน

เราไปยังไงก็ควรเขียนโครงการอย่างนั้น ผ่านไม่ผ่านช่างมันหากไม่ผ่านก็สลายกลุ่ม ถือว่าอย่างน้อยเราก็ได้คิด ได้เขียนและนำเสนอโครงการแล้ว ผมบอกเพื่อนร่วมทาง

อย่างน้อยเราก็ได้พยายามแล้ว ผมคิดอยู่ในใจ

เส้นทางนับจากนี้ไปคือถนนสายเลียบลำน้ำโดยทางซ้ายมือของเราเป็นลำน้ำเหืองไหลเลียบเคียงไปด้วยจนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณบ้านท่าดีหมีอำเภอเชียงคาน ถนนจากบ้านปากหมันถึงอำเภอท่าลี่ไม่สู้ดีนัก ขบวนรถมอเตอร์ไซด์ของเราจึงเคลื่อนที่ได้ไม่เร็วมาก ผมนั่งซ้อนรถคันที่หนุ่มห้องบัตรเป็นคนขับทำให้มีเวลาได้สังเกตสิ่งรอบข้าง ต่างจากคนขับที่ต้องตั้งสมาธิอยู่กับการขับขี่ยานพาหนะ ระหว่างทางยังพอพบเห็นหมู่บ้านบ้างส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่ริมน้ำเหือง ซึ่งแนวเขาสลับซับซ้อนที่มองเห็นอยู่อีกฟากของลำน้ำคืออาณาเขตประเทศลาว เราแวะพักที่ร้านค้าแห่งหนึ่งในท่าลี่จากนั้นจึงเดินทางต่อโดยมีเป้าหมายคือพักกินข้างเที่ยงที่แก่งคุดคู้อำเภอเชียงคาน ถนนจากท่าลี่ไปเชียงคานแย่ยิ่งกว่าที่ผ่านมาเสียอีก การปะซ่อมทางชำรุดทำได้อย่างงดงามทั้งสีสันและลวดลายทว่าไร้ประโยชน์สิ้นดี ถนนบางช่วงผมคิดว่ากรมทางหลวงสามารถส่งประกวดเป็นภาพแนว abstract ได้เลย น่าจะได้รางวัลอันดับต้นๆเป็นแน่ ถึงจะลำบากอย่างไรแต่บนถนนสายนี้เองที่เราได้สวนทางกับหนุ่มพเนจรชาวต่างชาติผู้หนึ่ง

เขาปั่นจักรยานสวนเรามาเพียงลำพัง ของต่างที่บรรทุกมาด้วยผมคาดคะเนโดยสายตาไม่น่าจะต่ำกว่า 20 กิโลกรัม เสียดายที่ผมลืมคิดถึงการถ่ายภาพเก็บไว้ตอนนั้นทำได้แค่เหลียวหลังมองหนุ่มนักปั่นเลือนหายไปจนลับสายตา ผมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

แม้หนทางจะเปล่าเปลี่ยวแต่ก็หาได้ร้างนักเดินทาง

ผมเหลียวมองดูขบวนรถมอเตอร์ไซด์ 3 คันที่ขับตามกัน ให้รู้สึกอึดอัดเพราะคิดว่ามันเป็นการเว้นระยะห่างที่ใกล้เกินไป ในขณะที่บางช่วงก็ห่างกันมากจนผมต้องบอกหนุ่มห้องบัตรให้ขับช้าลงบ้างเพื่อรอเพื่อนร่วมทางด้วย แต่อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครผิดข้อตกลงที่กำหนดไว้ก่อนการเดินทาง ข้อตกลงของเราคือรถคันที่หนุ่มห้องบัตรขับและมีผมเป็นคนนั่งซ้อนจะเป็นผู้นำขบวน ส่วนอีก 2 คันที่เหลือต้องขับตาม นั่นจึงทำให้ผมกำหนดความเร็วของขบวนรถเราได้

อย่าลืมนะ safety first ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก เป็นคำพูดของผู้อนุมัติโครงการที่ให้ไว้กับเราก่อนออกเดินทาง

แดดยังแรงกล้าเมื่อถึงบ้านท่าดีหมี เราพากันขึ้นไปนมัสการพระใหญ่บนภูคกงิ้ว เป็นบริเวณที่น้ำเหืองไหลบรรจบแม่น้ำโขง พระใหญ่เป็นองค์พระพุทธรูปปางลีลาประทานพรหันหน้าไปทางแม่น้ำโขงด้วยแววตาสงบนิ่ง จ้องมองความเป็นไปของสายน้ำและผู้คน จากนี้ไปราวสองร้อยห้าสิบกิโลเมตรเป็นเส้นทางที่เลียบเลาะริมแม่น้ำโขงไปตลอดจนถึงจังหวัดหนองคาย ปลายทางวันแรกของเรา...

ด้วยเส้นทางที่ยิ่งกว่าพื้นผิวของดวงจันทร์จึงทำให้เรามาถึงเชียงคานเกือบบ่ายสอง ก่อนพักกินข้าวที่แก่งคุดคู้เราแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเองมีชาวต่างชาติขับมอเตอร์ไซด์รุ่นใหญ่ 2 คันเข้ามาเติมน้ำมันพร้อมกัน เสียงเครื่องยนต์ฟังดูแล้วช่างทรงพลังเสียจริงต่างกับมอเตอร์ไซด์รุ่นเล็กของเราอย่างลิบลับ จากการสอบถามหญิงสาวที่ซ้อนท้ายมาด้วยซึ่งเป็นชาวไทยบอกว่า พวกเขามาจากอุดรธานีจะมาเที่ยวแก่งคุดคู้ เส้นทางที่มาคือเส้นทางที่เรากำลังจะไปต่อนั่นเอง

ต้มยำปลาน้ำโขงที่ร้านอาหารริมแก่งรสชาติเข้าทีแต่เนื้อปลาไม่ค่อยอร่อยนัก หลังจากพักราวๆหนึ่งชั่วโมงเราก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง แดดบ่ายแรงกล้าแต่ถึงกระนั้นพวกเราก็ยังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเอื่อยๆ ผมไม่มั่นใจว่าจะพบเจออะไรข้างหน้าแต่มาถึงขนาดนี้ก็ยากจะถอยกลับแล้ว

น้ำโขงแห้งลงอย่างเห็นได้ชัดทำให้เกาะแก่งต่างๆโผล่พ้นขึ้นมาอย่างชัดเจน ถึงกระนั้นระหว่างทางผมยังสังเกตเห็นชาวบ้านจับปลาเป็นกลุ่มๆตามบริเวณแก่งหินที่น้ำไหลเชี่ยว ก่อนจะถึงอำเภอสังคมรถคันที่ผมนั่งซ้อนยางรั่ว โชคยังดีห่างออกไปไม่ถึงห้ากิโลเมตรมีหมู่บ้านและมีร้านซ่อมรถอยู่ ช่างซ่อมไม่อยู่ตอนพวกเราไปถึง หนุ่มเวรเปลจึงจัดการซ่อมเสียเองและให้ผมไปซื้อยางมอเตอร์ไซด์มาให้จากร้านใกล้เคียง ผมได้ยางมาอย่างรวดเร็วแต่กลับไม่ใช่ขนาดที่ต้องการ เผอิญช่างเจ้าของร้านกลับมาพอดีเขาจึงนำยางไปเปลี่ยนให้ แล้วพวกเราก็ออกเดินทางอีกครั้ง เสียเวลาไปร่วมเกือบๆชั่วโมง

เสียงเพลงชาติดังขึ้นขณะเราผ่านตัวอำเภอสังคมพอดี  ขบวนรถเราเริ่มรักษาระยะห่างที่ดูเหมือนจะพอดี ไม่ใกล้ไม่ไกล หนุ่มห้องบัตรมองกระจกหลังเป็นระยะๆ  ผมไม่จำเป็นต้องบอกเขาอีกต่อไปว่าจะเร่งหรือชะลอความเร็วตอนไหน  ดูเหมือนการเดินทางเป็นการเรียนการสอนอยู่ภายในตัว
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเข้าใจหรือไม่

เมื่อม่านรัตติกาลโรยตัว ความเมื่อยล้าจากการเดินทางไกลเริ่มปรากฏ ถึงผมจะไม่รู้ว่าสะพานมิตรภาพไทย-ลาวอยู่ตรงไหน แต่ตั้งใจไว้ว่าจะหาที่พักใกล้ๆกับสะพาน เพื่อหากได้เดินทางข้ามไปยังเวียงจันทน์เราจะได้จอดมอเตอร์ไซด์ไว้ที่พักเพื่อความปลอดภัย แต่ผมกลับนำพวกเราขับรถผ่านสะพานไปหลายกิโลเมตรทั้งๆที่ผมมองเห็นอยู่ว่าตัวเองกำลังลอดผ่านใต้สะพานแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้เราเสียเวลาวกวนในตัวเมืองหนองคายอยู่นานโข เป็นช่วงเวลาที่ท้อแท้และสับสน หากมีใครบางคนอารมณ์เสียขึ้นมาพร้อมกล่าวโทษกันเองเรื่องคงเลวร้ายไปใหญ่ แต่ในที่สุดเราก็ผ่านมาได้และน่าแปลกที่ได้ที่พักใกล้สะพานมิตรภาพไทย-ลาวสมใจ ระหว่างกินข้าวเย็น ผมกล่าวขอโทษทุกคนและยอมรับว่าที่เป็นคนนำทางใช่ว่าจะรู้อะไรมากกว่าคนอื่น พวกเราได้แต่นั่งหัวเราะกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าระหว่างทาง ถึงจะมาด้วยกันแต่ละคนกลับมีเรื่องประทับใจต่างกันออกไป
สายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพเริ่มถักทอร้อยรัดพวกเราที่มาจากต่างหน่วยงานเข้าไว้ด้วยกัน...

 


(โปรดติดตามตอนต่อไป ก้าวข้ามสะพานมิตรภาพไทย - ลาว)

 

 

view