ตามรอยประวัติศาสตร์ สัมผัสธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
4 ทุ่มตรงวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 คณะตามรอยประวัติศาสตร์ 12 ชีวิตถูกบรรจุเข้าไปในรถตู้ 1 คัน โดยมีคุณพ่อของน้องกระติกเป็นโชว์เฟอร์ พาคณะฝ่าความมืดมุ่งสู่สมุทรสาคร ถึงสมุทรสาครสว่างพอดีแวะเติมพลังด้วยข้าวต้มปลากระพง+กุ้งสดๆ อิ่มแปล้กันทุกคน คณะของเราเริ่มตามรอยประวัติศาสตร์ทันที อันดับแรกที่อุทยานประวัติศาสตร์ศาลพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งหลายท่านอาจจะลืมไปหมดแล้วถึงเรื่องราวของข้าราชการที่ซื่อสัตย์มีความรับผิดชอบอย่างพันท้ายนรสิงห์ คณะของเราได้ดู หลักประหารพันท้ายทรสิงห์ ได้เห็นศาลพันท้ายนรสิงห์ และดูเรือขุดไม้ตะเคียนซึ่งใหญ่และยาวมาก กว้างถึง
ออกจากอุทยานประวัติศาสตร์พันท้ายนรสิงห์ เรามุ่งสู่จังหวัดเพชรบุรีต่อ ระหว่างทางได้สัมผัสกับนาเกลือที่สมุทรสงคราม ผ่านบ้านไทยทรงดำที่อำเภอเขาย้อย จนถึงเขาวัง ตั้งใจว่าจะแวะเขาวังก่อน แต่มีเสียงคัดค้านจากเด็กๆต้องการไปเล่นน้ำทะเล คณะของเราจึงเดินทางเข้าถนน เลียบชายทะเลไปที่หาดเจ้าสำราญ ต่อไปที่หาดปึกเตียน เด็กๆตื่นเต้นกับตัวหุ่นในวรรณคดี เรื่อง พระอภัยมณี ที่ตั้งอยู่ที่หาด มีทั้งยักษ์ พระอภัย ฤษี ฯลฯ พ่อแม่และเด็กๆได้เล่นน้ำทะเลกันจนค่ำ ตั้งใจว่าเช้าจะเล่นน้ำทะเลต่อแต่ต้องผิดหวังเพราะตอนเช้าน้ำทะเลขึ้นสูงมากและมีคลื่นลมแรงคณะของเราจึงออกจากหาดปึกเตียน ตั้งแต่ 07.00 น. เพื่อไปดูการเป็นอยู่ของลิงที่เขาหวัง ลิงที่นี้จะแปลกจากที่อื่นคือ สามารถอยู่ร่วมกับชาวบ้านและแม่ค้าได้อย่างมีความสุข ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ลิงที่นี่จะไม่ค่อยเกเรกับเด็กๆ ออกจากเขาหวังเรามุ่งสู่จังหวัดราชบุรี หลายคนตื่นตากับโอ่งตลอดข้างทางจากราชบุรีเราต่อมาที่นครปฐมเพื่อจะตัดมายังถนนสายตะวันตกเป้าหมายต่อไปคือ อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาของเราผ่านศูนย์ศิลปะชีพบางไทร แต่ไม่ได้แวะเนื่องจากอยู่ระหว่างปรับปรุง คณะของเราแวะเข้าปางช้างอยุธยา ได้ชมการแสดงของช้างครู่เดียวช้างต้องเลิกการแสดงเพราะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อร่วมฉลองงานในหลวง ยังดีที่มีช้างประจำปางช้างอยู่ 5 เชือก เพื่อเล่นหยอกล้อกับเด็กๆ หลังจากที่เด็กๆได้ถ่ายรูปกับช้างจนพอใจแล้ว คณะของเราเดินเท้าต่อไปยังวัดมงคลบพิตร ซึ่งเป็นวัดที่เคยถูกพม่าเผาเสียหายทั้งวัด และหลวงพ่อมงคลบพิตรก็เสียหายเป็นบางส่วน ในปัจจุบันที่คณะของเราไปถึง วัดมงคลบพิตรได้จัดใหม่อย่างสวยงาม หลวงพ่อมงคลบพิตรได้รับบูรณะปิดทองเหลืองอร่าม ดูใหญ่โตมาก ทุกคนขอพรกันอย่างเต็มที อยู่ที่วัดนี้ชมซากสลักหักพังของอุทยานประวัติศาสตร์อุธยาจากผีมือพม่าจนบ่าย 4 โมง คณะของเราจึงเดินทางกลับอำเภอด่านซ้าย ถึงด่านซ้ายเวลา 22.00 น. โดยสวัสดีภาพ พร้อมที่จะต่อสู่กับงานและชีวิตต่อไป
ในการตามรอยประวัติศาสตร์ครั้งนี้ต้องขอขอบคุณกรรมการ HRD ที่มีโครงการดีๆให้บุคลากรและครอบครัวได้ร่วมเดินทางไปพักผ่อนและไปยังที่ๆไม่เคยไป ได้ศึกษาจากของจริงๆไม่ใช่ศึกษาจากตำราอย่างเดียว และที่ขาดไม่ได้คือ คุณพ่อของน้องกระติกซึ่งพาคณะไปตามที่ต่างๆอย่างปลอดภัย