ซำบายดี กำแพงนครหลวงเวียงจันทร์

ซำบายดี  กำแพงนครหลวงเวียงจันทร์

ซำบายดี  กำแพงนครหลวงเวียงจันทร์


         03.00 น.  ของวันอาทิตย์ที่  2  พฤษภาคม  2553  เสียงนาฬิกาดังขึ้น  ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก  ก็รีบอาบน้ำ  แต่งตัว  จับกระเป๋าคู่ใจ ที่เตรียมของไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน  แล้วก็แว้นมอเตอร์ไซค์มาที่หน้าตึกอุบัติเหตุ
ฉุกเฉินตามสถานที่ที่นัดกันไว้  หันมองนาฬิกาก็ปาเข้าไป  03.30 น.แล้ว  เอ๊ะ แต่ไม่เห็นใครมาสักคน  เขาไปกันแล้วหรอ  หรือว่ายังไม่มากัน  ก็นั่งรอปล่อยความคิดที่วาดฝันไว้  ว่าที่เราจะไปนั้นมันเป็นไงน้า  มันจะเหมือนกับบ้านเรารึเปล่า  คนที่นั่นจะพูดภาษาด่านซ้ายรึเปล่า  เคยแต่ได้ฟังคนอื่นเค้าเล่าให้ฟังกับดูช่องลาวสตาร์ว่า  ที่ที่เราจะไปนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  (สปป.ลาว)  คนที่นั่นก็พูดภาษาคล้ายๆกับคนอิสาน  หน้าตาก็คล้ายกับคนอิสาน  นั่งคิดไปเพลินๆลูกทัวร์ก็เริ่มทยอยมาเรื่อยๆ  จนครบ

04.00 น.  ทุกคนมาครบแล้ว  เดินทางโดยรถตู้  2  คัน  ผู้โดยสารรวม  24  คน  เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดหนองคาย  โดยมีพี่ไกรลาศ  เป็นหัวหน้าทัวร์ครั้งนี้  มีเภสัชปุ๊เป็นที่ปรึกษาของทัวร์  ไปกันหลายครอบครัวมาก

มีครอบครัวพี่ปุ๊  (พี่ปุ๊,พี่ไกรลาศ,น้องปุณ,น้องปลื้ม,ยายแจง)

ครอบครัวพี่พร  (พี่พร,ลูกชายสุดหล่อน้องดิว)

ครอบครัวพี่รินทร์  (พี่รินทร์,คุณแม่พี่รินทร์,น้องว่านหอม)

ครอบครัวป้าวรรณ  (ป้าวรรณ,น้าสมบัติสุดเท่)

ครอบครัวพี่คอย  (พี่คอย,น้องกุ๊งกิ๊ง)

ครอบครัวพี่แดงอัครเส  (พี่แดง,ภรรยาพี่แดง,น้องกิมจิ)

นอกนั้นก็มีแต่คนโสด  เช่น  พี่อึ่ง  ป้าติ้ง  และน้องนุชสุดสวยจ๊า

ทัวร์ครั้งนี้  มีน้องกิมจิอายุน้อยที่สุด  อายุแค่ 1 ปี 7 เดือน  กำลังหัดพูด  หัดเดินจ้ำม้ำน่ากัดจริงๆ  เห็นแล้วคิดถึงน้องเอิร์นขึ้นมาเลย  พี่ไกรลาศแบกน้องปุณมีพี่ปุ๊เดินมาเคียงข้าง  ช่างดูนารัก  ดูดิ  ครอบครัวหรรษามาแล้ว  แม่ที่รินทร์ดูแข็งแรงมาก    ส่วนคู่สวีทหวานเจ้าแม่  ฟาโรอีส  กับพี่สมบัติสุดหล่อของเราเองเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการเดินทาง  ได้จัดเตรียมอาหารอันโอชะไว้สำหรับทัวร์ครั้งนี้ไว้ด้วย  (ดีจริงๆ)  อาหารที่ว่าก็คือ  หมูทอด  ข้าวเหนียว  และที่ขาดไม่ได้คือ  แจ่วดำ  ก็กินกันในรถตู้กันเลย  บางคนก็กินบ้าง  บางคนก็นอนพักเอาแรงเพื่อจะไปเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้านี้  นี้โชว์เฟอร์ก็เปิดเพลงคลอเบาๆ  เพื่อไม่ให้เงียบเกินไป  แต่น่าสงสารก็เป็นพี่วรรณแหละ  อ๊วกตลอดทางเลย  เห็นแล้วก็ชวนให้อ๊วกด้วย  แฮะ  แฮะ  พี่สมบัติสุดหล่อของพวกเราก็คอยเทคแคร์  เก็บอาหารปั่นให้พี่วรรณ  เห็นแล้วซาบซึ้งใจจริงๆ

08.00 น. ทัวร์ของเราก็ถึงที่หมาย  แต่ก่อนถึงก็แวะปั๊มเพื่อเข้าห้องน้ำแต่งองค์ทรงเครื่องก่อน  ที่ด่านนั้นคนก็เริ่มทยอยกันทำบัตรผ่านแดน  พวกเราก็เกาะกลุ่มกันไว้  ก็ใช่ซิเราก็ไม่เคยน้อ  กล้าๆกลัวๆในระหว่างที่ต่อคิวกันทำบัตรอยู่นั้นก็มองไปรอบๆดูผู้คนดูสิ่งต่างๆรอบตัวเราสายตาก็พลันไปเห็นป้ายอยู่ป้ายหนึ่งคงเป็นภาษาลาวก็พยายามอ่านอยู่ตัวหนังสือก็คล้ายๆกับภาษาไทยก็พออ่านได้ว่า  บ่อนขายปี้  มีภาษาไทยกำกับไว้ว่า  ที่จำหน่ายตั๋ว  เห็นแล้วก็นึกขำดี  ภาษาเขาแปลกดี

หลักฐานที่ใช้ในการทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว  ก็มี  สำเนาบัตรประชาชน 1 ใบ  โดยมีขั้นตอนแรกคือการ ยื่นเอกสารที่ฝากเพื่อนพี่หนุ่ย ทำเรื่องไว้แล้วที่ช่องผ่านแดนฝั่งไทย   ขั้นตอนที่ 2  คือ ซื้อตั๋วรถบัสข้ามสะพานมิตรภาพไทย- ลาว  ขั้นตอนที่ 3  คือ ยื่นเอกสารที่เหลือให้เจ้าหน้าที่ด่านลาวพร้อมค่าธรรมเนียม

ใช้เวลาทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวประมาณ  20 นาที  เมื่อได้บัตรกันครบทุกคนแล้ว  ก็เข้าช่องตรวจเอกสารหลังด่านที่นัดพบกับรถลาวที่เหมาเช่าไว้ จุดสุดท้ายก่อนจะเข้าไปเมื่อผ่านด่านนี้ก็จะมีคนเข้ามาถามว่า  จะไปได๋  มีรถแล้วบ่

09.30 น.  พี่ไกรลาศ  หัวหน้าทัวร์ของพวกเราก็ได้พบกับไกค์และรถนำเที่ยวที่นัดไว้  ซึ่งรถที่พาเที่ยวนี้เป็นรถตู้ยี่ห้อ ฮุนได  จำนวน  3 คัน  มีพวงมาลัยอยู่ทางด้านซ้าย  ประตูขึ้นทางด้านขวา  และก็ขับรถในเลนส์ขวา  คล้ายบางประเทศทางยุโรป  ก็ใช่ซินะ  ประเทศลาวเคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศสนี้น่า  ถนนหนทางโล่งไม่ค่อยมีรถ  จากด่านพรหมแดนหนองคายถึงนครหลวงเวียงจันทร์   ใช้เวลาเดินทางประมาณ  10  นาที  ก็ถึงแล้ว

10.00 น.  ก็ถึงเวียงจันทร์  เมืองหลวงของประเทศลาว  ที่แรกที่ไปก็คือ  พระธาตุหลวง  ซึ่งเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิของพระพุทธเจ้า  องค์เจดีย์สีทองอร่าม  สวยงามมาก  รอบๆเจดีย์เป็นสนามหญ้า  มีกำแพงล้อมรอบมีทางขึ้น  4 ด้าน  ทุกด้านมีพระพุทธรูปให้ไหว้ทุกจุด

โชคดีที่วันนี้  ตรงกับประเพณีแห่บุญบั้งไฟของที่นี้พอดี  ผู้คนเยอะมากผู้หญิงบางคนก็ใส่ผ้าถุง  (ซิ้น)บางคนก็นุ่งโจงกระเบน  ฟ้อนรำอยู่รอบโบสถ์จนครบ  3 รอบแล้วก็จุดบั้งไฟเป็นระยะๆ

ออกจากนมัสการพระธาตุหลวงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เที่ยวต่อที่ซุ้มประตูไชย  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำประเทศลาวเลยที่เดียว  เมื่อใครได้มานี่ก็ต้องเก็บภาพนี้ไว้ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง  ซุ้มประตูนี้เป็นศิลปกรรมฝรั่งเศสกับลาว

มีน้ำพุสวยๆที่เปิดเพลงแล้วน้ำพุจะเต้นตามจังหวะด้วย  เห็นไกด์บอกว่าตอนกลางคืนเวลาเปิดไฟจะเห็นน้ำพุเป็นสีๆ  สวยงามมาก  และตรงข้ามกันนั่นเองเป็นทำเนียบรัฐบาลของประเทศลาวเป็นอาคารทรงยุโรปสวยงามมาก  และเงียบสงบ  มองไปภายในผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน  รถก็ไม่ค่อยติด  เสียดายจังเนอะ  ที่เราไม่ได้นอนค้างที่นั้นสักวันไม่วันพวกเราทุกคนคงจะได้เห็นน้ำพุที่สวยงามอีกอย่างหนึ่งของเวียงจันทร์และหลังจากนั้นพี่ไกรลาศหัวหน้าทัวร์ที่น่ารักของลูกทัวร์ทุกคน  ก็พาลูกทัวร์ที่หิ้วท้องรอตั้งแต่เช้าหลังจากกินข้าวเหนียว  หมูทอดมาตั้งแต่เช้าก็เริ่มหิวแล้ว  ว๊า! เที่ยงแล้วสินะเนี่ยได้เวลาไปกินก๋วยเตี๋ยวแล้ว  เย้!อยากรู้จริงๆนะว่าก๋วยเตี๋ยวที่บ้านของเขาจะเหมือนบ้านเราหรือเปล่า  และแล้ว เฝอ  หรือก๋วยเตี๋ยวก็ยกมาส่งถึงโต๊ะ  น่าน....มานไม่เหมือนกันจริงๆ  ของเขามีผักให้คนละชามและน้ำจิ๋มผักด้วย  แต่ที่โดดเด่นทีสุดคือ  ชามของก๋วยเตี๋ยวที่มานใหญ่มากๆ  เลย  พอกินกันจนอิ่มแล้ว  กลุ่มทัวร์เราก็ไปกราบนมัสการที่หอพระแก้ว  เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต  ซึ่งที่นั่นก็จะวัตถุโบราณให้ดูมากมายเลย  และที่พวกลูกทัวร์ไม่เคยลืมก็คือการถ่ายรูปแต่ละคนก็เก๊กกันซะ  และตรงข้ามกันก็มีวัดศรีสะเกษ  ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในกำแพงนครเวียงจันทร์  พวกเราลูกทัวร์ทุกคนเริ่มขาหมดแรง  เพราะเดินกันมาหลายวัดแล้วจึงไปนั่งพักอยู่ริมถนนและก็หิวน้ำด้วยพอดีเลย  มีรถทัวร์มาจอด  น้องกุ๊งกิ๊งลูกสาวแม่คอยเดินไปเอาโค๊กมากินด้วย  อ๊ะ  น้องกุ๊งกิ๊งเอามาจากไหนหรอ  เอ๊? พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น  น้องกุ๊งกิ๊งไปเอาโค๊กจากผู้สาวเวียงจันทร์มาได้ไง  สาวกระเป๋าระทัวร์แต่งตัวสวยมาก  สงสัยจะเป็นชุดฟอร์มของประเทศเขามั้ง  สีน้ำเงิน  พอชื่นชมสาวลาวจนอิ่มตาแล้ว  ก็ไม่ลืมไปนมัสการที่วัดศรีเมืองเป็นวัดที่เก่าแก่และเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองกำแพงนครเวียงจันทร์  มีไอศกรีมขายด้วย  ถ้วยละ  10 บาท แปลกดี  เหมือนขนมหวานมากกว่า  อิ อิ  เดินอ้อมมากอีกทางด้านหนึ่งของวัด  มียักษ์ตัวใหญ่ยืนเป็นหุ่นปั้นเพิ่มความสวยงามให้กับผู้ที่มาชมและกราบนมัสการที่วัด  และนกตัวใหญ่อยู่ที่นั้นด้วย  แต่เอ๊? ทำไมเขาจึงเอาผ้าเป็นสีๆมาผูกด้วยน๊า  แต่สังเกตเห็นนกไม่ขยับเลยยืนอยู่ที่เดิม  แต่ส่วยหัวไปมา ที่แรกก็นึกว่าหุ่นนกปั้นเสียอีก  แต่เห็นหัวส่ายไปมาก็เลยขำกันซะยกใหญ่  สนุกมากเลยที่ได้ไปเที่ยวลาวครั้งนี้  เป็นครั้งแรกเลยนะเนี้ยที่ได้มาเที่ยวต่างประเทศ  ถ้าทาง  โรงพยาบาลไม่ได้จัดงบประมาณนี้ขึ้นมา  พวกลูกทัวร์เราก็คงไม่ได้มาเที่ยวกันเป็นทีมหรอกค่ะ

ยังไม่จบนะคะ หลังจากวัดศรีเมืองแล้วพวกเราได้ไปละลายทรัพย์กันอีก สองจุดคือที่ตลาดเช้า เป็นห้างคล้ายมาบุญครอง ที่กรุงเทพ คือเป็นตลาดนัดติดแอร์ มีทั้งของพื้นเมืองและเครื่องใช้ไฟฟ้ามากมาย ราคาก็ถูก จุดสุดท้ายสำรับคนที่เงินยังไม่หมดคือร้านค้าปลอดภาษีตั้งอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้ามือง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ซื้อของที่เลียนแบบยี่ห้อชั้นนำระดับโลก แต่ราคาตลาดนัด น่าใช้มากๆในยุคข้าวยากหมากแพงแต่เราก็ยังอยากทันสมัยอยู่ มีทั้งเสื้อผ้า กระเป๋าเล็กใหญ่ ชายหญิง รองเท้า อาหาร สุดแต่ใจจะไขว่คว้า เอ๊ย... หาซื้อกันจ้า พอออกมาได้เดินแทบไม่ไหวกันเลยเพราะของเยอะมาก กระเป๋าเงินก็แฟบ ไม่รู้ว่าเดินไม่ไหวเพราะของเยอะหรือเงินหมดนะ เราช่วยกันยื้อแย่งที่นั่งบนรถบัส ขากลับคืนไปดินแดนฝั่งไทยพอข้ามกลับมาได้ เฮ้อถึงเมืองไทยซะที นั่งรอรถตู้มารับสักพักคิดว่าอยู่ไกลกัน ที่แท้อยู่ตรงกันข้ามและรถตู้ก็จอดที่เดิมตลอดพวกเรางง เอง หรือว่าหิวข้าเย็นจนตาลายนี่แหละ รายการสุดท้ายอีกทีเด็ดของเราคือ แหนมเนืองเมืองหนองคายอันลือชื่อที่ร้านแดงแหนมเนือง กินแหนมเนืองมาหลายครั้งหลายร้านไม่เคยอร่อยและบรรยากาศดีเท่าครั้งนี้เลยขอบอก  อร่อยมากอาหารอื่นๆในร้านก็น่ากินและอร่อย สด สะอาด ไม่ได้มีหุ้นกับร้านนะอร่อยจากใจจริงๆ เราให้ทุกคนสั่งได้ตามสบายอยากกินอะไรก็สั่งกันได้เลยเต็มที่ ป๋า... เป็นเจ้ามือทั้งที ต้องกินให้อิ่ม เดี๋ยวจะเสียชื่อ ป๋า.... เมื่อสรุปค่าใช้จ่ายสิ่งที่น่าประทับใจก็เกิดขึ้นกับพวกเราอีกแล้ว คือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนละ  983 บาท โอ้ สนุกจัง สตางส์ เหลือเยอะ

สุดท้ายแล้วต้องขอขอบคุณทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายที่มีโครงการดีๆๆ ให้พวกเราได้ชุ่มชื่นหัวใจกันเช่นนี้จ้า ขอให้เจ้าภาพจงเจริญนะจ๊ะ

 

  

                                        จากทีมงานซำบายดี กำแพงนครหลวงเวียงจันทร์

 

view