เผาเทียนเล่นไฟ ลอยกระทงสาย จากสุโขทัยถึงตาก
หลังจากไม่ได้รับอนุมัติให้ไปเที่ยวเมื่อครั้งส่งโครงการรอบแรก เพราะสมาชิกไม่ครบจาก 3 หน่วยงานตามกฎกติกา ทำให้เราต้องหาสมาชิกที่จะไป เผาเทียนเล่นไฟ ลอยกระทงสายล่องจากสุโขทัยถึงตาก แล้วเราก็ได้เพิ่มมาจนครบ 3 หน่วยงานรวม 10 คน ได้แก่ นาง หนิง ตาล ปุ๊กกี้เจน นุช พี่น้อย พี่แหลม พี่เฮี้ยงและผม คราวนี้โครงการเราผ่านฉลุย
เช้าตรู่วันที่ 20 พ.ย. 53 เช้าจริงๆ ตีสี่ครึ่ง ทุกคนรวมตัวกัน ณ จุดรวมพลอย่างพร้อมเพียง
(ถ้านัดทำงานมากันตรงเวลาได้แบบนี้คงจะดีนะเนี๊ยะ) เพื่อเดินทางท่องเที่ยวชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ และวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนานจากสถานที่อันเป็นต้นกำเนิดของประเพณีลอยกระทงที่ทุกคนยังยึดถือและสืบสานจากอดีตจวบจนปัจจุบัน
มีหลายคนพูดว่าใครตื่นเช้ากว่าก็มีเวลาในการใช้ชีวิตได้มากกว่าคนอื่นๆ นั้นจริงที่สุดเพราะวันนี้เราออกเดินทางกันแต่เช้าทำให้แค่แปดโมงกว่าๆเราก็มาถึงสุโขทัยแล้ว พักทานอาหารริมทางรับไอแดดอุ่นๆเพื่อคลายหนาว ก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไปที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยซึ่งเป็นหนึ่งในสามอุทยานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปีเดียวกันกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร(ข้อมูลจากลุงไกด์ประจำรถรางที่พาเราชมเมืองเก่าศรีสัชนาลัยนั่นเอง) ใช้เวลาดื่มด่ำมนต์ขลังของความเก่าแก่และยิ่งใหญ่ของศรีสัชนาลัยพร้อมเก็บภาพสวยๆกันแล้ว ก็ได้เวลา ช๊อป! ชมผ้าพื้นเมืองและวิธีการทำเครื่องเงินเครื่องทองโบราณอันเป็นเอกลักษณ์ของสุโขทัยที่มีต้นกำเนิดจริงๆอยู่ที่อำเภอศรีสัชนาลัยนี่เอง สวยงาม โดดเด่น มีให้เลือกซื้อเลือกชมตั้งแต่ราคาไม่กี่บาทไปจนถึงหลายหมื่นบาท ก็เลือกซื้อเป็นของฝากที่ระลึกกันคนละชิ้นสองชิ้น มื้อเที่ยงที่นี่ต้องเป็นก๊วยเตี๋ยวสุโขทัยแน่นอน แต่ร้านที่เราแวะกินกันนี่สงสัยจะเป็นของปลอมแน่เลย เพราะไม่มีถั่วฝักยาวหั่นเฉียง เพราะถ้าใครเคยกินจะรู้ว่าก๊วยเตี๋ยวสุโขทัยเอกลักษณ์คือถั่วฝักยาวแล้วจะไม่มีผักอย่างอื่นเลย สอบถามเจ้าของร้านได้ความว่า น้ำท่วมเมื่อต้นเดือนทำให้ถั่วฝักยาวขาดตลาด อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง เป็นอันว่าของแท้ แต่ปรับสูตรนิดหน่อยตามสภาวะดินฟ้าอากาศก็เป็นอันว่าเข้าใจกัน จัดการกับมื้อเที่ยงเสร็จเราก็ไปต่อกันที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ที่จัดงานเผาเทียนเล่นไฟอันยิ่งใหญ่ระดับชาติมีกิจกรรมให้ชมตั้งแต่ช่วงกลางวัน โคมแขวน กระทง ที่ได้รับรางวัลประกวดอันสวยงามจัดแสดงอยู่บริเวณลานพ่อขุนให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม และตลาดเบี้ย จำลองตลาดโบราณโดยใช้เงินเบี้ยในการจับจ่ายซื้อของซึ่งมีทั้งของกินของใช้ของที่ระลึกที่จัดวางแทรกตัวอยู่ในบริเวณสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ในอุทยานนั่นเอง เราต่างคนต่างเที่ยวชมนั่นโน่นนี่ ถ่ายรูป กับสถูปเจดีย์ พ่อค้าแม่ขาย รวมไปถึงร้านรวงที่มาร่วมสร้างสีสันของงาน จนตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างหลั่งไหลเข้ามาบริเวณงาน ความมืดก็เริ่มปิดกั้นสายตาของเราจากวัตถุทั้งหลาย เพื่อเป็นฉากให้แสงไฟซึ่งเป็นหัวใจของงานที่นี่ได้ออกโรงเป็นพระเอกนางเอกในการแสดงแสงสีอวดสายตาผู้คนทั้งหลาย แต่ สมาชิกทุกคนลงความเห็นว่า วันนี้ที่สุโขทัย เราพอแล้ว อิ่มแล้ว ล้าแล้ว รถของเราจึงหันหลังให้แสงสีที่กำลังเปิดฉากร่ายรำไปบนเวทีกรุงเก่าโดยไม่มีใครรู้สึกเสียดาย เพราะเราทุกคนต่างก็ เต็มอิ่มกับสุโขทัย.
รถวิ่งมาได้ซักชั่วโมงกว่าๆก็เข้าสู่เขตอำเภอเมืองตากเราก็แวะเติมพลังงานก่อนที่จะเข้าที่พักโดยยังคงคอนเซ็บเดิมคือร้านอาหารง่ายๆข้างทาง แล้วนั่งรถเข้าที่พักอีกเพียงไม่กี่นาที
“สวัสดีครับ พวกเราที่จองที่พักหลังคาฟ้าไว้นะครับ”
“คระ มากาแล้วเหรอ เดี๋ยจะให้เดะพาไปที่ห้องพะเลย”
ตัวจริงเสียงจริง สำเนียงภาษาไทยกลางปนชนเผ่าคือเสียงที่เราได้พูดคุยเมื่อครั้งโทรมาจองที่พักกับผู้ใหญ่ย่าง ผู้จัดการดอยมูเซอโฮมสเตย์ ยิ้มต้อนรับด้วยความอบอุ่น ห้องพักขนาดเล็กมีทีวี เครื่องทำน้ำอุ่นและพัดลมที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ และเตียงนุ่มๆพร้อมผ้าห่มผืนใหญ่ที่รอให้ทุกคนล้มตัวลงนอนเพื่อชาร์ตพลังไว้ลุยต่อในวันรุ่งขึ้น (อากาศแบบนี้สงสัยบางคนได้ใช้บริการแค่เตียงนอนกับผ้าห่มแน่เลย เครื่องทำน้ำอุ่นบางห้องอาจจะโดนเรียกใช้งานตอนเช้าทีเดียวก็เป็นได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
ฟ้าสางที่กลางดอย หมอกที่ลงหนา ปะทะกับสายลมที่ค่อนข้างแรงทำให้เรามองๆดูแล้วชักไม่แน่ใจว่าที่เห็นนะมันหมอกหรือเมฆกันแน่หน้อ........
เพียงแค่ขยับฝาหม้อ ไออุ่นๆก็แทรกตัวขึ้นมาจากหม้อข้าวต้มเครื่อง ที่ทางผู้ใหญ่ได้จัดเตรียมไว้ให้เป็นอาหารเช้า เทียบขนาดของหม้อข้าวกับจำนวนคนแล้วนอกจากจะอุ่นไอของข้าวต้มแล้วยังอุ่นใจได้ว่าอิ่มแปล้กันทุกคนแน่ๆ ส่วนเครื่องดื่ม ชา กาแฟ โอวัลตินก็จัดให้เสร็จสัพแล้วแต่จะเลือกบริโภค
กินอิ่ม นอนอิ่ม แบตเตอร์รี่เต็ม ขบวนของเราก็ออกเดินทางกันต่อ ข้ามเขตมาสามสี่จังหวัดไม่รู้ว่าข้ามเขามากี่ลูก ขอไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลกันหน่อย กับพระอุโบสถสองชั้นที่แทรกตัวอยู่บนเชิงเขาระหว่างเส้นทางตาก-แม่สอด เป็นสถาปัตยกรรมที่วิจิตรงดงามมาก ทราบว่าผู้ที่ตั้งใจออกแบบและหาทุนมาก่อสร้างเป็นมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยศิลปากรใช้เวลาสร้างร่วมสิบปีทีเดียว นี่สินะผลงานที่เกิดจากความตั้งใจและศรัทธา แม้เราไม่ได้เห็นกระบวนการทำแต่เราก็รับรู้ได้ถึงความงดงามของชิ้นงานที่ออกมา เพราะฉะนั้นถ้าเราทำอะไรอย่างมุ่งมั่นตั้งแม้เราจะไม่พูดหรือโฆษณาอะไรก็จงเชื่อมั่นว่าคงต้องมีคนมองเห็นคุณค่าในสิ่งนั้นแน่นอน สาธุ.......
หลังจากอิ่มบุญกันแล้วก็ได้เวลาศึกษารูปแบบการค้าชายแดนที่ตลาดริมเมยชายแดนไทยพม่าที่แม่สอด สินค้าส่วนใหญ่เป็นงานไม้แกะสลักและอัญมณีในรูปของเครื่องประดับต่างๆ หลายคนได้เอาเม็ดเงินไปส่งเสริมการค้าชายแดนเพื่อชดเชยรายได้ให้พ่อค้าแม่ค้าชาวไทยที่ช่วงนั้นต้องขาดรายได้จากลูกค้าชาวพม่าที่จะข้ามมาซื้อของกันอย่างคึกคักในช่วงปกติ แต่ช่วงนั้นมีปัญหาการเมืองภายในของการเลือกตั้งในพม่า จึงทำให้ตลาดริมเมยดูซบเซาไปบ้าง มื้อเที่ยงเราฝากท้องไว้กับร้านขนมจีนขยุ้มร้านขึ้นชื่อของอำเภอนี้ สังเกตได้จากจำนวนรถที่จอดหน้าร้านและจำนวนลูกค้าที่นั่งเต็มเกือบทุกโต๊ะเลยทีเดียว อืม.......รสชาติอาหารก็........เยี่ยม มื้อนี้ถือเป็นมื้อที่หรูที่สุดในทริปการเดินทางนี้ของเรา แต่ สิบคนจ่ายไป 500 บาทถ้วน
บ่ายโมงกว่าๆยังมีเวลาเหลือเพราะกว่าเราจะไปดูกระทงสายที่ตากก็ประมาณทุ่มเศษๆ ดูที่เที่ยวบริเวณใกล้เคียงที่ได้ข้อมูลจากคนในพื้นที่โต๊ะข้างๆบอกว่าถ้ามีเวลาเหลือน่าไปคือ น้ำตกพาเจริญ ฟังแค่ชื่อยังน่าไปเลย แต่ถ้ายังมีตังค์เหลือ พีเคการ์เม้นต์ก็น่าไปเพราะเป็นช็อปขายเสื้อผ้าแบรนเนมหน้าโรงงาน แบรนเนมจริงๆแต่ตาดีได้ตาร้ายเสีย ราคาถูกกว่าบนห้าง 60-70% กับตำหนิติดมานิดหน่อย แล้วก็อย่าให้ใครดูป้ายตราสินค้าหล่ะเพราะมันโดนกรรไกรหนีบไว้เรียบร้อยแล้ว อ้าวแค่ฟังคำเชิญชวนของสาวแม่สอดหน่อยเดียวเคลิ้มเลย รู้ตัวอีกทีอยู่หน้าเค้าเตอร์ชำระเงินซะแล้ว
ที่หมายต่อไปน้ำตกพาเจริญ ชื่อก็เป็นมงคลแล้ว คงเป็นเพราะว่าเพิ่งผ่านหน้าฝนมาไม่นานทำให้มีกระแสน้ำเอ่อไหลซ่านแซะไปทุกซอกซอนของโขดหิน แตกกระเซ็นเป็นฟองฝอย ทำให้หนุ่มๆสาวๆได้ภาพประทับใจกันไปหลายต่อหลายภาพ
คิดว่าจะหมดที่ให้ใช้เงินแล้วนะ ขากลับจากแม่สอดเข้าตากยังมีตลาดชาวดอยขายของกินของฝากทั้งผักผลไม้สดๆแคบหมูน้ำพริกหนุ่มให้ถือติดไม้ติดมือกันอีกเพียบ เอ....ขามารถยังโล่งๆนั่งสบายๆ ขากลับชักจะกระดุกกระดิกขาไม่ได้ซะแล้วสิเรา
รถเคลื่อนตัวเข้าบริเวณงานลอยกระทงสายริมแม่น้ำปิง โอ้โหผู้คนคึกคักไม่แพ้ที่ใดๆ ลงรถได้เราก็เดินเป็นขบวนไปซื้อหากระทงเพื่อจะได้ลอยกันจริงๆซักที หลังจากนั้นเราก็เดินชมบรรยากาศงานลอยกระทงของตาก น้องบางคนถามว่ากระทงสายนี่เขาเอากระทงมาผูกติดกันด้วยเชือกแล้วลอยรึปล่าว แต่ในงานนี้เราได้คำตอบว่า เป็นการลอยกระทงที่ทำจากกะลามะพร้าวบรรจุด้วยขี้ผึ้งมีสายชนวนเหมือนตะเกียง จุดแล้วค่อยๆปล่อยเป็นจังหวะตามกระแสน้ำปิงที่ไหลเชี่ยว ถ้าวางได้ดีจังหวะดีก็จะเกิดเป็นเส้นสายของแสงไฟจากกระทงให้เห็นบนสายน้ำอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นที่มาของการประกวดกระทงสายของที่นี่นั่นเอง ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการปล่อยโคมลอยเก็บภาพสวยๆก่อนขึ้นรถกลับบ้าน กว่าจะถึงก็ปาเข้าไปตีสองกว่าๆของเช้าวันที่ 22 พ.ย. 53 แต่ก็ต้องขอบคุณพี่ต้นทัวร์ที่ไม่คิดค่ารถเราเพิ่มแถมยังส่งพลขับที่มาสร้างบรรยากาศและเสียงหัวเราะให้พวกเราตลอดเส้นทางอีกด้วย
จากวันที่พวกเราไปเที่ยวจนถีงวันนี้วันที่นั่งเขียนเรื่องเล่านี้อยู่ผ่านมาแล้วกว่าสัปดาห์ ต้องขอบคุณคณะกรรมการที่สนับสนุนงบประมาณและไม่ปล่อยให้เราไปแบบไม่ครบ 3 ฝ่ายที่ขอครั้งแรก แม้ว่าหลังจากกลับมาใหม่ๆพวกคนต้นคิดคุยกันว่าพี่ๆเขาสนุกกันไหม มีความสุขกับทริปนี้ไหมเพราะแต่ละคนก็พยายามชี้ชวน ชักชวน ทั้งพูดคุย ถ่ายรูป สร้างบรรยากาศให้ครึกครื้น สนุกสนานตลอดเส้นทาง แต่ด้วยความที่พี่ๆเขาเป็นคนค่อนข้างเงียบเราจึงไม่สามารถสรุปได้แต่เมื่อเช้านางมาเล่าให้ฟังว่าพี่เฮี้ยงกับพี่แหลมถามว่าปีหน้าเราจะไปเที่ยวไหนกันดี ก่อนหน้านี้แค่ยิ้มทักทายแบบเสียมิได้ตอนแลกบัตรหน้าประตูโรงพยาบาล ตอนนี้มีแซวทักทาย ถามไถ่ด้วยมิตรไมตรี ส่วนพี่น้อยที่แต่ก่อนนิ่งๆตอนนี้เดินเข้ามาคุยกับหนิงกับตาล และบอกว่าแกชอบที่ไหนที่เราไปกัน แกสนุกยังไงบ้าง ได้ฟังแล้วเลยรู้สึกว่าเราลืมพี่ยามสองคนและพี่สะอาดอีกคนไปแล้ว แต่รู้จักพี่เฮี้ยงกับพี่แหลม และพี่น้อย สังเวียนแทน ส่วนคนอื่นๆ ทั้งนุช นาง หนิง ตาล ปุ๊กกี้ เจน และผม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสนุกอยู่แล้ว (ดูจากการพูดไม่เคยหยุด และรูปที่ถ่ายมาเกือบ 1,000 กว่ารูปตลอด 2 วันโดยเฉพาะนุช แวะที่ไหนเป็นต้องได้ของติดมือขึ้นรถมาตลอด ไม่รู้ว่าทริปนี้จะหมดงบไปเท่าไรน้อ!)
นี่ไงเหตุผลของการต้องไปกัน 3 หน่วยงาน บังคับกลายๆว่าอย่าไปแค่คนที่สนิทกันอยู่แล้ว ก่อนไปบางคนแทบไม่รู้จักชื่อกัน ไม่เคยคุยกัน แต่พอกลับมา พวกเราเริ่มขยับเข้าใกล้คำว่าสนิทคุ้นเคยกันมากขึ้น ขอบคุณครับ ขอบคุณที่บอกว่าต้อง 3 หน่วยงาน ขอบคุณจริงๆครับ
30/11/53