เหล่านี้เป็นบางส่วนเสี้ยวความประทับใจ กอดเมืองกาญจนบุรีของชาวคณะ
ประทับใจที่สุดคือได้ชมแสง สี เสียง “war is over”ทำให้เราจินตนาการและฟังเสียงการสร้างสะพานข้ามและทางรถไฟสายมรณะ และสงครามที่ทำลายล้างชีวิตมนุษย์ด้วยกัน ตื่นตาตื่นใจ ระทึกขวัญเหนือสิ่งอื่นใด
การเข้าเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนรเศวรมหาราช ที่สวยงามและสมจริงมาก พวกเราได้มีโอกาสพบตัวจริงพระเอก หรือ ผู้พันเบิร์ด หล่อมาก ไม่ถือตัว และยังนำบัตรชมสถานที่ถ่ายทำฟรีมาให้พวกเราถึงที่พัก นับว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่พวกเราได้รับ และเรายังมีโอกาสได้แต่งตัวสวยเป็นนางเอกของเรื่อง คือเจ้านางมณีจันทร์อีกด้วย
สิ่งที่ทีมเราประทับใจคือ ครั้งนี้ทีมเรามีน้องไผ่ซึ่งเป็นบุคคลพิเศษร่วมเดินทางไปด้วย พวกเราต้องวางแผนการว่า จะพาน้องไผ่ขึ้นนั่งรถไฟๆได้อย่างไรให้รวดเร็ว ในการยกรถเข็นขึ้นรถไฟไปด้วย หรือการที่จะยกน้องไผ่ข้ามรางรถไฟ หรือลงบันไดทำให้ได้นึกคิดว่าทุกคนสามารถช่วยเหลือน้องเขาให้มีโอกาส และได้เห็นสัมผัสทุกอย่างได้เหมือนกับเรา
สุดท้ายความประทับใจก็ต้องยกให้กับน้องต่ายคุณอรอุมา ที่นำทีมของเราไปเที่ยวอย่างคุ้มค่า ถือว่าเป็นการเดินทางที่ประทับใจอีกครั้งในชีวิตที่ยากจะลืมเลือน ……..รัชนี สีหไตรย์
ความประทับใจแรกคือทุกคนมาพร้อมเพรียงกันตอนขึ้นรถเดินทาง และคนขับรถพี่โก๋ ขับรถได้นิ่มมาก เรานั่งก็สบายใจ ส่วนตอนพบตัวเป็นๆของผู้พันเบิร์ด ท่านเป็นคนที่หล่อมากไม่ถือตัวว่าเป็นดารา เดินมาให้เราถ่ายรูปด้วยและพูดคุยกับเราดีมาก และตอนเดินเที่ยวตลาดสามชุกก็ได้กระทบไหล่ดาราอีกมากมาย ขอบคุณหัวหน้าคณะนำเที่ยวของเราที่พาไปในที่สวยงามหลายแห่งที่เคยเห็นแต่ในรูปแต่ไม่เคยได้ไปเห็นและสัมผัสของจริง คราวนี้ก็ได้ไปเห็นมาแล้ว ประทับใจอย่างมากมันเป็นกำไรชีวิตที่มีค่ามากที่สุด มีความสุขที่สุดค่ะ
ไก่ค่ะ วราภรณ์เสนานุช
ในการเดินทางเพื่ออิสรภาพ 26-28พฤศจิกายน 2553 จากดินแดนแห่งสัจจะและไมตรี ถึงกาญจนบุรีครั้งนี้ความประทับใจมีมากเกินบรรยาย ตั้งแต่ทีมงานที่คู่ควรโดยเฉพาะไก่จ้น พี่หนูนิด น้องแก้วมณีแดง พี่น้อย พี่ต่ายผู้นำทีมที่ดี น้องไผ่พงษ์ศธร และหลานน้องไผ่สุดหล่อ น้องแป้งสุดสวย และน้องน้ำว้า1หวีน้อย พี่โก๋ผู้ขับรถใจดีน่านับถือมากขับรถนิ่มนวลชวนหลับดียิ่งนัก
โอได้ชมแสงสีเสียงสะพานข้ามแม่น้ำแคว เขาจัดได้ดีมากจนเราประทับใจมาก พาให้เราจินตนาการไม่รู้ลืม ภูมิใจที่ได้ไปชื่นชมเพราะมันเป็นสะพานประวัติศาสตร์ ที่เป็นตำนานวีระบุรุษหลั่งเลือดเนื้อไม่ต่ำกว่าแสนชีวิต ที่กว่าจะมาเป็นสะพานสายมรณะแห่งนี้ คนไทยเราควรไปชื่นชมและจดจำไว้ในใจตราบนานเท่านาน คุ้มจริงๆที่ได้ไปเยือน
ตอนกลับเข้าที่พัก ข้างทางเหลือบเห็นป้ายไม่ชัดเจน อ่านเป็น “ไนลอน หวานๆ” หลายๆป้ายติดกัน คาใจเลยจอดร้ายข้างทาง พี่น้อยช่วยสงเคราะห์เลยได้กิน “เมลอน หวานๆ” เป็นครั้งแรกในชีวิต
ช่วงบ่ายมารอซบไหล่พระนเรศวร ให้สมใจอยาก ได้พระนเรศวรตัวจริงพานำเข้าชมกองถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยตัวเองแบบ VIP ทหารทำความเคารพตลอดทางเลย ถึงที่จริงอลังการมาก ภูมิใจที่คนไทยทำได้ขนาดนี้ต้องขอบคุณท่านมุ้ยจริงๆที่ตั้งใจทุ่มเทขนาดนี้
เมืองกาญจน์เมืองเพชรพลอย เมืองที่เหมาะกับหญิงโอมาก เลยฉลองศรัทธาไปหลายบาท
บึงฉวากเห็นปลาตัวโต๊ โต น่าเอามาลาบแซบๆ ก่อนออกมามีจานติดรูปโอด้วย เลยต้องเสียตังค์ซื้อรูปตัวเองที่แปะบนจานกลับบ้าน
เที่ยวสามชุกมีอาหารการกิน อาหารตา เยอะแยะไปหมด ว่าแล้วก็ซบไหล่ดาราเป็นว่าเล่นกลางตลาด
แต่ที่ทำให้โอสวยที่สุดในชีวิต ก็ตอนได้แต่งตัวเป็นมณีจันทร์ เคียงคู่พระนเรศวรตลอดไป
หญิงโอ
สำหรับน้องไผ่ นั้นสิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือความสามัคคีของคณะเถิดเทิงทัวร์มาก ที่ทำทุกอย่างให้น้องไผ่ได้ขึ้นรถไฟเป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้งที่ไผ่ก็ลุ้นว่าจะได้ขึ้นหรือไม่ ตั้งแต่หลงทางกับคณะตอนรอขึ้นรถไฟจนต้องยิงโทรศัพท์ทางไกลด่านซ้ายกาญจน ตามหาตัวมาขึ้นรถไฟจนได้ ด้วยความทุ่มเทของทุกคน
ใครจะรู้ว่าไผ่ก็เป็นนักรบได้ หาชมภาพหายากได้แบบส่วนตั๊วส่วนตัว
ชายไผ่โสภณ
ใครเป็นต้นคิดก่อสงคราม มันผู้นั้นหนักแผ่นดิน พิลาน้อย ศิษย์ดาบจ่อย
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ กอดเมืองกาญจน ชมตำนานสมเด็จพระนเรศวร
ในฐานะหัวหน้าคณะทัวร์ การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดาเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะมีแรงกดดันอย่างสูง ไม่ใช่เพราะหาทีมเดินทางไม่ครบสามฝ่าย คณะเราสี่ห้าฝ่ายด้วยซ้ำ
แต่ความกดดันนี้ด้วยเพราะว่าครั้งนี้เราติดต่อผ่านพระเอกภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้พันเบิร์ด พท. วันชนะ สวัสดี ผู้เคยมาเยี่ยมเยือนด่านซ้ายแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เราเลยถือโอกาสเหย้าเยือนเมืองกาญจน โดยได้รับความอุดหนุนจากน้องพู่ creative สวท 11ที่ช่วยให้เราได้ติดต่อโดยตรงกับพี่เบิร์ดได้
การเดินทางครั้งนี้เลยมีการเตรียมการนานถึง 3เดือน ทั้งขอทราบคิวของพี่เบิร์ด พร้อมการติดต่อที่พัก
วันที่เสียงโทรศัพท์ดังโชว์หมายเลขของ พท.วันชนะ ขึ้นหน้าจอตอนหัวค่ำก่อนเดินทางราว1อาทิตย์ เป็นครั้งแรกที่ได้รับสายตรงจากดารา ทำตัวไม่ถูก เอาเข้าจริงๆพอได้พูดคุยกับพี่เบิร์ดที่เกร็งๆก็สบายใจขึ้น เพราะความกดดันทั้งหมดที่ต้องจัดทัวร์ในครั้งนี้ก็หายไป ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้แล้วเพื่อรอเราไปเยือนซึ่งทางพี่เบิร์ดให้ความกรุณาแก่เรามากโดยจัดพลทหารรับรอง และที่พักรับรองในค่ายสุรสีห์ บริเวณกองถ่ายทำภาพยนตร์นั่นเอง (ขอบอกที่พักฟรี)
คณะเดินทางของเราเดินทางแต่หัวค่ำ โดยมีการเตรียมการฉายเสนอภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรไปตลอดทาง เพื่อสร้างอารมณ์ร่วม ซึ่งได้ผลดีมาก(ขนาดพี่โก๋คนขับรถของเราที่ไม่เคยชมหนังเรื่องนี้มาก่อนต้องขอเปิดดูต่อเนื่องทุกครั้งที่มีโอกาส )เปิด2ภาคตั้งแต่รถออก จบอีกทีตอนก่อนสว่าง รถของเราเดินทางถึงกาญจนบุรีพอดี พักงีบเอาแรงกันเล็กน้อย พูดคุยกับพี่ยามปั๊มน้ำมันแบบสำเนียงเหน่อๆพอให้คุ้นหูกับข้อมูลแนะนำการท่องเที่ยวเมืองกาญจนฉบับย่อ ก่อนมาแวะสูดอากาศริมแม่น้ำแคว
ริมสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแคว เราได้โอกาสเดินสัมผัสไม้หมอนรถไฟสายมรณะแบบใกล้ชิด ทำให้เผลอคิดไปว่าไม้เหล่านี้ต้องสังเวยด้วยชีวิตคนไปกี่แสนคน ตลอดระยะทางกว่าหนึ่งพันกิโลเมตรจนถึงเมืองพม่า น่าเศร้าใจแทนทุกคนที่จากไปกับสงคราม สายน้ำแควข้างล่างก็ยังคงไหลพาประวัติศาสตร์ของวันเวลาล่องลอยไปเรื่อย รอให้เรามาหวนรำลึก สะพานที่ถูกสร้างมานานหลายปี กับการรับใช้การเดินทางของรถไฟขบวนแล้วขบวนเล่าก็ล่วงโรยตามเวลา เพราะขณะที่เราเดินเล่นกันอยู่เสียงน้องน้ำว้าก็แหวกอากาศมาให้เสียวเล่น “แม่…น็อตรางรถไฟหลุดล่ะตั้งหลายตัว ” เล่นเอานักท่องเที่ยวที่กำลังเดินชมรางรถไฟเพลินๆรีบสาวเท้ากลับออกมาจากสะพานกันเป็นแถว
สายๆเดินทางออกมาหาที่พักโดยพี่เบิร์ดโทรศัพท์นำทางตลอด ก่อนนัดหมายจะตามมาสมทบพบกันในช่วงบ่าย
ก่อนเวลานัดเราเลยออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อทำตามที่ตั้งใจในการขึ้นรถไฟข้ามสะพานแม่น้ำแคว (ใช่แล้ว..ที่เราเห็นน็อตรางรถไฟหลุดไปเมื่อเช้านั่นแหละ) หลายคนในคณะของเรา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะได้นั่งรถไฟ!!!!!
รถไฟที่นี่มี2แบบคือ รถไฟนำเที่ยวล่องมาจากกรุงเทพอัตราโดยสารก็ใช้ได้ ราว300บาท คณะของเรารอขึ้นที่สถานีสะพานแควใหญ่ ที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ สถานีเล็กๆที่นี่ไม่เปิดขายตั๋ว ใกล้ถึงเวลาจะมีเจ้าหน้าที่รถไฟมาวิทยุแจ้งนายเดินตั๋วบนรถไฟถึงจำนวนคนที่จะขึ้นรถไฟ
พอเจ้าหน้าที่รถไฟตะโกนแจ้งว่า”คนไทยรับตั๋วฟรีครับ” ก็เข้าทางคณะเราทันทีพี่น้อยนิตยาถูกส่งเป็นตัวประกันรับตั๋วฟรีได้ชื่อว่า “ คณะแม่บ้าน10 ” รับตั๋วฟรีได้บนรถไฟ
บางคนไม่รู้ว่าจะรอขึ้นฝั่งไหนของชานชลาดี ช่วงนั้นเราคงลืมไปว่าประตูขบวนรถไฟ มันเปิดทั้งสองด้านจะขึ้นฝั่งไหนก็ได้แล้วแต่สะดวก ฝรั่งเลยต้มไทยไปเต็มๆเพราะสามารถหลอกล่อคนไทยมายืนรอฝั่งเดียวกันหมดได้ทั้งชานชลา
คณะของเรามีน้องไผ่ไปด้วย แต่ทุกคนมีความตั้งใจที่จะให้ไผ่ได้ขึ้นรถไฟไปพร้อมๆกัน เลยแบ่งหน้าที่กันอุ้ม ยก แบก รถเข็นนั่งขึ้นรถไฟ เนื่องจากรถไฟจะจอดที่สถานีนี้ไม่เกิน 1 นาทีทุกอย่างต้องรวดเร็ว และเพราะคนรอขึ้นเยอะมากทั้งไทย ทั้งฝรั่ง และแล้วน้องไผ่ก็ได้ขึ้นรถไฟจนได้ โดยตัวนั่งอยู่ที่ตู้7 ส่วนรถเข็นประจำตัวอยู่ที่ตู้ที่8
พี่ไก่กับส้มโอก็ได้ที่นั่งพิเศษคือห้องน้ำรถไฟ ที่ถูกดัดแปลงให้หลบกายเข้าไปยืนได้ มีที่นั่งเป็นรถเข็นนั่งน้องไผ่นั่นเอง ต่ายกับน้องน้ำว้าก็ได้ประสบการณ์ลมโชย ตีตั๋วยืนตรงประตูรอยต่อโบกี้รถไปตลอดสายจากสถานีสะพานแควใหญ่ถึงสถานีถ้ำกระแซ รวมกว่า2ชั่วโมง เป็นสองชั่วโมงที่สนุก หวาดเสียว และพบปะกับคนมากมายที่พูดคุยกันจนสนิทสนมกันตลอดสองชั่วโมงบนรถไฟ
ตกบ่ายเรากลับมารอที่ที่พัก ก่อนที่พี่เบิร์ดจะโทรมาว่าจะเข้ามารับคณะเราเข้าชมกองถ่ายแล้ว คณะทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง รีบมารอต้อนรับพี่เบิร์ดกันเป็นแถว พอได้พบตัวจริงพี่เบิร์ดมาดูแลความเป็นอยู่ของเราในที่พักที่เตรียมให้ ชาวคณะเลยได้โอกาสถ่ายรูปใกล้ชิดสมใจ พี่เบิร์ดเตรียมบัตรเข้าชมกองถ่ายมาไว้ให้เราด้วยตัวเองในนามสวัสดิการครอบครัวทหารบก ถ้าไปซื้อเองก็ใบละ 100 บาท ครั้งนี้ก็เลยฟรีอีกแล้ว อย่าอิจฉานะ… ขอบพระคุณงามๆมายังพี่เบิร์ด ก่อนมาถึงพี่เบิร์ดยังมีน้ำใจเสนอตัวแวะรับบัตรชม แสงสีเสียงสะพานแม่น้ำแควให้เราอีกกลัวเราจะไม่ได้ที่นั่งชมดีดี กราบงามๆอีกรอบนะคะ
แล้วเราก็เข้าชมกองถ่ายทำภาพยนตร์โดยการนำของพระเอกของเรื่อง รู้สึกVIPจริงๆ ตลอดทางทหารคงเข้าใจว่าเป็นรถคนพิเศษหรือรถดาราก็ไม่รู้ เลยทำความเคารพตลอดทาง …เอาน่าครั้งหนึ่งในชีวิตที่มีคนอุตส่าห์เข้าใจผิด
พี่เบิร์ดนำคณะของเราเข้าชมโดยแนะนำสถานที่ ที่สำคัญและนัดแนะไปถ่ายรูปที่หน้าลานวัดพระมหาเถรคันฉ่อง สถานที่ไฮไลต์ของเรื่อง ซึ่งสถานที่ถ่ายทำที่ถูกเนรมิตขึ้นมานี้กว้างใหญ่มาก แสดงถึงความตั้งใจของผู้สร้างอย่างท่านมุ้ยจริงๆที่อยากให้คนไทยได้มีภาพยนตร์แห่งสยามประเทศ เมื่อได้มายืนในที่แห่งนี้เหมือนได้ไปเยือนแหล่งประวัติศาสตร์หลายยุคสมัย ทั้งไทย พม่า รามัน ฯ นึกถึงเวลาในอดีตที่กว่าจะมาเป็นชาติไทยได้ในปัจจุบันบรรพบุรุษต้องเสียสละสิ่งไดไปบ้างทั้งเลือดเนื้อและชีวิต
หลายคนในคณะมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำและคิดว่าไม่มีโอกาสที่จะหาได้ง่ายๆ อย่างเช่น การแต่งตัวเป็นขุนศึกได้ถือพระแสงดาบคาบค่ายยิงข้ามแม่น้ำสะโตง หรือแต่งตัวเป็นเจ้านางมณีจันทร์นางในใจของพระนเรศวร
จนเป็นคณะสุดท้ายที่อยู่ในกองถ่ายได้โดยเจ้าหน้าที่ไม่ไล่ให้ออกเพราะเลยเวลาปิดเข้าชมนานแล้ว
คณะของเรารอจนพี่เบิร์ดแต่งตัวรอเข้าฉากที่ถ่ายทำกลางคืนในภาคสุดท้าย กับฉากเรือรบที่แม้จะเป็นของปลอมแต่ก็อลังการมากๆ ก่อนพี่เบิร์ดจะส่งเราเพื่อไปชมแสงสีเสียงตอนกลางคืนในงานสัปดาห์ข้ามแม่น้ำแคว ที่พี่เบิร์ดบอกว่าคณะเราโชคดีที่มาตรงช่วงนี้พอดี เลยมีโอกาสได้ชมประวัติศาสตร์ข้ามแม่น้ำแควที่บอกได้คำเดียวว่าคุ้มมากกับบัตร200บาท เวทีลอยน้ำกับวงออเคสต้าบรรเลงแสดงสดกลางสายน้ำแคว กับประวัติศาสตร์น่าเจ็บปวดของสงคราม ที่เราน่าจะต้องจดจำบทเรียน กับ wars is over ในปีนี้ครบปีที่ 30ของการจัดงานรำลึกพอดี ทำให้เราได้รู้ว่าทุกๆระยะ1เมตรจะมีเชลยศึกเสียชีวิตเฉลี่ย4คน ดังนั้นกว่าแสนคนที่ต้องสังเวยกับเส้นทางรถไฟสายนี้
ในใจของชาวคณะเราคงไม่ต่างกันกับเสียงบรรยายที่ได้ฟัง และร่วมรำลึกถึงผู้จากไป ทั้งขอบคุณพวกเขาที่ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความสูญเสีย ความเปลี่ยนแปลง และสันติภาพ
ชมแสง สี เสียงตระการตาจบเรามาเดินเล่นกันต่อ ในงานเราเดินเที่ยวชมงานที่จัดไว้ในพื้นที่ที่กว้างใหญ่มากที่เดินทั้งคืนคงไม่หมดก่อนขาของทุกคนจะเริ่มหมดแรง และตกลงใจกันว่ากลับไปนอนพักผ่อนกันดีกว่าพรุ่งนี้คิวโชว์ตัวยังอีกยาวไกล
รุ่งเช้าอีกวันเราเก็บทุกคนขึ้นรถแต่เช้า แวะทานอาหารเช้าที่ร้าน” อาโส “ ที่ใครหลายคนในคณะเราแอบเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นร้าน “ อาวุโส” ตามสภาพอายุอานามของผู้ร่วมขบวน อยากบอกว่าอร่อยมากๆกับบรรยากาศโบราณบวกกับความเป็นกันเองของเจ้าของร้าน ถ้าไม่ติดรีบเที่ยวต่อจะขอสูตรทำอาหารกลับมาด้วย
เราแวะต่อในสถานที่สำคัญหลังสงคราม คือ อนุสรณ์สถานสุสานดอนรัก ที่ที่เขียนป้ายชัดเจนว่า มิใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นที่ที่ร่วมรำลึกถึงผู้จากไปอย่างสงบ เราจึงเห็นทั้งทหารอเมริกันหรือญาติของทหารที่แวะเวียนมาเคารพศพในทุกปีที่มีการจัดงานรำลึก ทั้งพวงหรีดนานาชาติ ดอกป็อปปี้แดงวางเรียงรายที่ฐานไม้กางเขนท่ามกลางสุสาน กว่า 6,000ศพ ที่ต้องฝังร่างไว้โดยไม่มีโอกาสกลับไปบ้านเกิด หน้าทางเข้าสุสานมีแผ่นหินที่จารึกไว้ด้วยความสะเทือนใจว่า
คริสตศักราช 1939-1945
แผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งสุสานนี้ เป็นสมบัติของประชาชาวไทย
ได้อุทิศให้เป็นสถานที่พักตลอดกาล
สำหรับทหารเรือ ทหารบก และทหารอากาศผู้ซึ่งได้รับเกียรติ ณ ที่นี้
จากสุสาน เราแวะพิพิธภัณฑ์สงครามโลก แหล่งรวมรอยร้าวและบาดแผลของสงครามเอาไว้ให้เราระลึกถึงอย่างชัดเจน จนพี่น้อยนิตยา คิดว่าสงครามเพื่อความเป็นใหญ่ทางความคิดของคนหนึ่งคนใด มักทำให้เกิดความแหลกเหลวของผู้คน ภาพของทหารเชลยศึกที่ต้องทนพิษบาดแผลจากสงครามที่ทรมาน ความเป็นอยู่ที่โหดร้าย อย่าได้เกิดขึ้นกับเราอีกเลย หากทุกคนคิดและตระหนักในความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
20บาทค่าเข้าชมสถานที่แห่งนี้ไม่แพงเลยกับสิ่งที่เราได้เก็บมาคิดและเรียนรู้
ออกจากกาญจนบุรี ที่หมายต่อไปของเรา ไม่พ้นแหล่งที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตโบราณ แบบว่าเอาให้ซึมเข้าเลือดเนื้อกระดูกดำไปเลย เราเลยแวะชมตลาดร้อยปีสามชุก ตลาดที่มีวิถีชุมชนที่น่าชมเชย ถึงแม้จะมีคนจากเมืองอื่นมาแวะเวียนด้วยเพราะมีชื่อเสียงจากการเปิดตัวทางโทรทัศน์อยู่เนืองๆ แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือชุมชนตลาดนี้เป็นผู้ร่วมคิดและทำให้ตลาดแห่งนี้ยังคงอยู่ ถ้าบ้านเรามีคนเริ่มคิดแบบนี้บ้างไม่แน่ตลาดด่านซ้ายเมืองแห่งสัจจะและไมตรี อาจเป็นที่แห่งหนึ่งที่คนคิดถึงเหมือนสามชุกก็ได้ และที่ถูกใจวัยรุ่นที่ไปกับคณะก็คงเป็นกระทบไหล่ดารากลางตลาด จนคิดไปเลยว่าเป็นตลาดดาราไปแล้ว
กลับมาด่านซ้ายเที่ยงคืน เป็นคืนที่มืดมิดของด่านซ้าย เพราะไฟฟ้าดับทั้งเมือง เราเลยได้เห็นบรรยากาศด่านซ้ายท่ามกลางความเงียบสงัด ไม่มีแสงจากร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด24ชั่วโมง เป็นเวลาที่สงบสบาย คงจะเหมือนบรรยากาศเมื่อหลายร้อยปีก่อน
จากเมืองกาญจนมา เอาภาพถ่ายและวีดีโอที่ถ่ายไว้มาให้ พ่อกับแม่ดู ทั้งคู่ต่างตกใจว่าเมืองกาญจนที่ท่านเคยเห็นและเคยอยู่กับป้าและคุณลุงซึ่งเป็นทหารอเมริกัน ในตอนนั้น ช่างเปลี่ยนแปลงไปจนเกือบจำไม่ได้ ต้นไม้ที่เคยเห็นริมน้ำแคว ร้านอาหารแพริมน้ำต่างแปรเปลี่ยนไปหมด แต่อย่างน้อยกาญจนบุรีก็ยังเป็นสถานที่ในความทรงจำของทั้งคู่
ดาบปลายปืนยาวสมัยสงครามโลกของตาทวดที่เก็บไว้ที่บ้าน ถูกชักออกจากฝักมาร่วมวงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตครั้งเก่าก่อนอีกครั้ง
แม่ขุนเขากะลูกกล้วย